การรักษาโรคผิวหนังด้วยแสงอาทิตย์เทียม

การรักษาโรคผิวหนังด้วยแสงอาทิตย์เทียม


ภาควิชาตจวิทยา
   Faculty of Medicine Siriraj Hospital

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล


           แสงอาทิตย์เป็นสิ่งที่ให้คุณประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลก เช่น ช่วยกระตุ้นให้ผิวหนังสร้างวิตามินดี (ช่วยป้องกันโรคกระดูกผุ) และใช้รักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้ เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคด่างขาว ผื่นผิวหนังอักเสบเรื้อรัง โรคผมร่วง ฯลฯ
 เนื่องจากเราไม่สามารถควบคุมความเข้มข้นของแสงอาทิตย์ จึงได้มีเครื่องมือฉายแสงอาทิตย์เทียม ซึ่งผลิตแสดงอัลตราไวโอเลต เอ และ บี ที่ใช้รักษาโรคผิวหนังดังกล่าวข้างต้น

ระยะเวลาการรักษา
โรคสะเก็ดเงิน
ได้ผลดี ประมาณ 85%
ระยะแรกฉายแสงสัปดาห์ละ 2-4 ครั้งนาน 2-3 เดือน ต่อไปอาจฉายแสงต่ออีก 2-3 เดือน

โรคด่างขาว
           ครั้งแรกที่รักษาต้องฉายแสงติดต่อกันสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งโดยใช้เวลารักษานาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับอาการของโรค ถ้าหยุดระหว่างการรักษาผลที่ได้จะดีไม่เท่าที่ควร ดังนั้นผู้ป่วยที่จะมารับการฉายแสงด้วยวิธีนี้ควรตัดสินใจให้แน่นอน ว่าจะมาฉายแสงครบตามที่แพทย์กำหนด

ประโยชน์ของการรักษาด้วยแสงอาทิตย์เทียม
1.  สามารถเลือกเวลาที่ฉายแสงได้โดยไม่ต้องรอพึ่งแสงอาทิตย์
2.  แพทย์สามารถควบคุมปริมาณของแสงที่ใช้ในการรักษาโรคผิวหนังได้
3.  การรักษาโรคสะเก็ดเงิน

ช่วยควบคุมโรคสะเก็ดเงินที่มีรอยโรคมากได้ดีกว่าการใช้ยาทาแบบธรรมดา
เมื่อโรคหายโอกาสเกิดซ้ำขึ้นอีกมีน้อย
สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการทายา


ข้อเสีย
ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ที่มีความชำนาญโดยเฉพาะ
ต้องเสียเวลาในการมาตรวจติดต่อกันโดยใช้เวลานานเป็นเดือน ๆ หรือนานเป็นปี
เครื่องฉายแสงอาทิตย์เทียมนี้มีเฉพาะ

โรงพยาบาลของรัฐบาลบางแห่งเท่านั้น เช่น โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี
โรงพยาบาลจุฬาฯ สถาบันโรคผิวหนังและโรงพยาบาลประจำจังหวัดบางจังหวัด

สิ่งที่ควรรู้
1. ทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉายแสงอาจมีอาการอักเสบแดงหรือไหม้ได้
2. บางครั้งอาจจะต้องรับประทานยาที่ทำให้เกิดการแพ้แสง

ดังนั้น หลังจากรับระทานยาแล้วต้องปฏิบัติตัวดังนี้
1. ต้องสวมแว่นกันแดดที่กันรังสีอัลตราไวโอเลตได้ในเวลากลางวัน เป็นเวลานาน 12 ชั่วโมง
2. ต้องอยู่ในที่ร่มไม่ถูกแสงแดดนาน 24 ชั่วโมง
3. ใส่เสื้อผ่า สีมืด แขนยาว กางเกงขายาว นาน 12 ชั่วโมง

อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษา
คัน ผิวหนังอักเสบแดง หรือไหม้
โดยเฉพาะบริเวณหน้าอก และก้น ถ้าไหม้รุนแรงหรือมีตุ่มน้ำพอง ต้องรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษา
คลื่นไส้อาเจียน
จึงควรรับประทานยาหลังอาหาร ถ้าเป็นมากควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษา

ข้อควรระวังระหว่างรับการรักษา
1.   ควรงดดื่มสุรา เบียร์ ของมึนเมาทุกชนิด
2.   ไม่ควรใช้เครื่องสำอาง เช่น น้ำหอม ยาโกนหนวด สบู่ยา ฯลฯ
3.   ผู้ป่วยไม่ควรอยู่ในระยะตั้งครรภ์
4.   ไม่ควรใช้ยาชนิดอื่นทาผิวหนัง
5.   ก่อนรับประทานยาอื่น ๆ เช่น ยาแก้ไข้หวัด ยาแก้ปวดศีรษะ วิตามิน ยาถ่าย ฯลฯ ควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษาเสียก่อน
ข้อแนะนำ
เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ ผู้ป่วยจะต้องให้ความร่วมมือดังนี้
1.  รับประทานยาให้ตรงเวลา
2.  มารับการรักษาตรงตามเวลานัด
3.  ถ้าไม่สามารถมาตามนัดได้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนจะถึงเวลานัด
4.  ต้องให้ความร่วมมือและอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้ทำการรักษาอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลานาน

 

เอกสารประกอบ

ดาวน์โหลด