น่ากลัว... ไวรัสตับอักเสบ ซี

น่ากลัว... ไวรัสตับอักเสบ ซี

รศ.นพ.ทวีศักดิ์ แทนวันดี
ภาควิชาอายุรศาสตร์
อายุรแพทย์ด้านระบบทางเดินอาหาร
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

               ไวรัสตับอักเสบ ซี  ถือเป็นภัยเงียบที่คุกคามผู้คนมานานโดยไม่รู้ตัว  ผู้ที่ติดเชื้อ ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการใดๆ เลย จนกว่าจะมีการเสื่อมของตับมากๆ อาจใช้เวลา 10 – 20 ปี หลังจากติดเชื้อ  จึงเริ่มมีอาการที่สังเกตเห็นได้ชัด คือ อ่อนเพลีย ซึ่งตอนนั้นก็มักเกิดตับแข็งแล้ว ที่ร้ายอาจเป็นมะเร็งตับ  แม้โรคนี้จะเพิ่งรู้จักกันไม่ถึง 20 ปี   แต่ที่ฮือฮากันเพราะดาราพิธีกรเป็นโรคนี้กัน  จึงทำให้ผู้คนอยากรู้จักมากขึ้น

               ปัจจุบันมีประชากรทั่วโลกราวร้อยละ 1 - 2  ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี  คาดว่าอีก  20  ปีข้างหน้า  จะมีผู้ป่วยภาวะตับแข็งเพิ่มขึ้นราว  ร้อยละ  20  และอาจเกิดมะเร็งตับตามมาประมาณ  ร้อยละ  3-5  ต่อปี  ในบ้านเรา พบผู้ป่วยร้อยละ 1 - 2  หรือประมาณ  6 – 7 แสนคน และพบมากขึ้นในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 

               ไวรัสตับอักเสบ ซี  เป็น   เชื้อไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอ   (RNA)  เชื้อไวรัสนี้มีขนาดเล็กมาก   แม้ว่าจะใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนส่องก็ไม่สามารถมองเห็นได้ มีเพียงวิธีสกัดเอาสารพันธุกรรมของไวรัสแล้วนำมาขยายเพิ่มจำนวนล้าน ๆ เท่าจึงจะมองเห็น  ไวรัส ซี ประกอบด้วย สายพันธุ์ ได้แก่สายพันธุ์ที่ 1 ถึง 6   การแบ่งสายพันธุ์ไม่เกี่ยวกับความรุนแรงแต่เกี่ยวกับการรักษาคือ ในจำนวนนี้ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นสายพันธุ์ที่รักษาง่าย  คือ สายพันธุ์ 2 และ 3  

               การติดต่อส่วนใหญ่  มักผ่านทางการรับเลือด ส่วนประกอบของเลือดที่ไม่ใช่การบริจาคเลือด ได้แก่ เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด  โดยจะมีระยะฟักตัวประมาณ 6 - 8 สัปดาห์ ผู้ป่วยน้อยกว่าร้อยละ 25  อาจมีอาการอ่อนเพลีย ส่วนน้อยอาจเป็นโรคดีซ่าน  ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยเพียง ร้อยละ 15  เท่านั้น  ที่สามารถกำจัดไวรัสออกไปจากร่างกายได้  ส่วนอีกร้อยละ  85 จะมีอาการเรื้อรังทำให้ตับเสื่อมเป็นตับแข็งและมะเร็งตับได้  

               จากการศึกษาในผู้ป่วยโรงพยาบาลศิริราช กว่าร้อยละ 60  มีประวัติเคยได้รับเลือดก่อนปี 2533  ทำให้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี  แต่ในปัจจุบัน ธนาคารเลือดของโรงพยาบาลศิริราชและสภากาชาดไทยได้มีการตรวจกรองเลือดทุกถุง ทำให้ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อน้อยลง

               ความเสี่ยงอื่นๆ  ที่สำคัญ  ได้แก่   ผู้ที่ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น จากการศึกษาทั้ง 4 ภาค คือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ พบผู้บริจาคเลือดที่มีประวัติติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นเกินกว่า 6 เดือน มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี สูงถึงร้อยละ 95  นอกจากนี้ยังพบในผู้ที่สักตามร่างกาย  เจาะหู  ฝังเข็มรักษาโรค หรือแม้กระทั่งการขริบอวัยวะเพศ หากเครื่องมือไม่ได้รับการฆ่าเชื้อที่ถูกต้อง ก็อาจเป็นสาเหตุของการติดต่อได้   ในผู้ป่วยที่ฟอกเลือดล้างไตก็พบบ่อยขึ้นเช่นกัน  ส่วนการติดต่อทางเพศสัมพันธ์และจากมารดาสู่ทารก  พบน้อยมาก มีหลายท่านมักกังวลว่า    ไวรัสตับอักเสบซี จะติดต่อโดยการดำเนินชีวิตประจำวันร่วมกันกับผู้ป่วยหรือไม่  อย่าง การกิน   ใช้ห้องน้ำ  ทำงาน  การมีเพศสัมพันธ์  หรือแม้กระทั่งมารดาให้นมบุตร  ซึ่งเรื่องเหล่านี้ขอเรียนให้สบายใจว่า  พบได้น้อยมาก  ไม่มีผลกระทบต่อกันแต่อย่างใด

               การวินิจฉัยสามารถทำได้โดย ตรวจเลือดดูการทำงานของตับ หากผิดปกติ จะตรวจว่าเป็นตับอักเสบบีหรือซี    ถ้าเป็นไวรัสตับอักเสบซีจะนำส่วนที่เป็นน้ำเหลืองไปตรวจหาภูมิต่อต้านไวรัสตับอักเสบ ซี  หรือที่เรียกว่า "แอนติ เอช ซี วี (Anti-HCV)"  โดยเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 300 - 400 บาท และรอผลประมาณ 1-3 วัน   ในรายที่ผลเป็นบวกควรยืนยันด้วยการการตรวจไวรัสตับอักเสบซีโดยตรง   โดยตรวจดูปริมาณไวรัสและสายพันธุ์ไวรัส  ซึ่งการตรวจสายพันธุ์จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจต่อการรักษา  เพราะอาจรักษาง่ายใช้เวลา  6   เดือนหรือเป็นปี   แต่บางรายอาจต้องเอาเนื้อตับมาตรวจ เพื่อดูพยาธิสภาพของตับก่อนตัดสินใจรักษา   เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการรักษาไวรัสตับอักเสบ  ซี  ค่อนข้างสูงคืออย่างน้อย ประมาณ  2 - 3  แสนบาท    

               การรักษาในปัจจุบันใช้คู่กันทั้งยาฉีดและยากิน โดยฉีดสัปดาห์ละ 1 เข็ม  กินทุกวัน 6 เดือนถึง 1 ปี ผลข้างเคียงของการใช้ยารักษาอาจเกิดความอ่อนเพลียได้  แต่เมื่อหายแล้วจะหายขาดและตับก็จะดีขึ้น ดูเหมือนว่าการรักษาแพงแต่เพียงไม่กี่เดือนหากเทียบกับโรคอื่น ๆ เช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันสูงต้องรักษาตลอดชีวิตต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงกว่ากันมาก ๆ  เพียงแต่เหมือนผ่อนทีละน้อย ๆ  

               สำหรับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี  สามารถใช้ชีวิตและออกกำลังกายได้ตามปกติ แต่ต้องไม่ลืมพักผ่อนให้พอเพียง ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้ไวรัสแบ่งตัวมากขึ้นและตับเสื่อมเร็วขึ้น ไม่รับประทานยาเองโดยปราศจากคำสั่งของแพทย์ และควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจระดับ AST และ ALT ว่าการอักเสบของตับอยู่ในระดับใด อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องตกใจกับระดับค่าที่วัดได้ เพราะไม่มีส่วนสัมพันธ์กับความรุนแรงของอาการอักเสบ  ซึ่งโดยธรรมชาติ  ไวรัสชนิดนี้จะมีระดับขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นปกติอยู่แล้ว หากแพทย์พบว่าตับของท่านอักเสบต่อเนื่อง อาจพิจารณาให้การรักษา 

               อย่างไรก็ตาม คาดว่ายังมีผู้ป่วยอีกจำนวนมากที่ไม่ได้รับการรักษา  อาจเพราะไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ ฉะนั้นควรหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพื่อหาทางป้องกันหรือรักษาอย่างทันท่วงทีในกรณีที่ตรวจพบความผิดปกติ

 

 

 

เอกสารประกอบ

ดาวน์โหลด