มารู้จัก ไข้เลือดออก ภัยร้ายที่อยู่ใกล้ตัว ตอนที่ 1
มารู้จัก ไข้เลือดออก ภัยร้ายที่อยู่ใกล้ตัว ตอนที่ 1
รศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ
อ. พญ. วนัทปรียา พงษ์สามารถ
หน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
Faculty of
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โรคไข้เลือดอออก
โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี พบระบาดเป็นครั้งแรกในประเทศฟิลิปปินส์ ในปี พศ. 2497 จากนั้นพบมีการระบาดครั้งแรกในประเทศไทย ในปี พศ. 2501 โดยมีรายงานผู้ป่วย 2,158 ราย เสียชีวิตร้อยละ 13.90 และจะระบาดทุกปีในช่วงฤดูฝน คือ ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกเป็นจำนวนมากและมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่อัตราการเสียชีวิตน้อยลงอย่างชัดเจนในปัจจุบัน
สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้รับรายงานผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจากสำนักงานสาธารณสุข
จังหวัด และสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 รวมทั้งสิ้น 7,215 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 11.64 ต่อประชากรแสนคน เสียชีวิต 12 ราย คิดเป็นอัตราเสียชีวิตร้อยละ 0.17
ไข้เลือดออกสายพันธุ์ใหม่ มีจริงหรือไม่
โรคไข้เลือดออกมี 4 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ ที่ 1, 2, 3 และ 4 ซึ่งอาจพบได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ และส่วนใหญ่ทุกปีจะพบสายพันธุ์ที่ 1 และ 3 มากกว่า แต่ปีนี้พบสายพันธุ์ที่ 4 มาเป็นอันดับ 1 ซึ่งส่วนใหญ่เด็กที่ติดเชื้อไวรัสเดงกีจะไม่มีอาการ หรืออาการไม่รุนแรงโดยเฉพาะถ้าเป็นการติดเชื้อครั้งแรก แต่หากเป็นการติดเชื้อครั้งที่ 2 อาจเป็นไข้เลือดออกที่รุนแรงได้จากทุกสายพันธุ์ แต่ยังไม่มีรายงานสายพันธุ์ใหม่ในประเทศไทย
ไข้เลือดออกติดต่อได้อย่างไร
เป็นโรคติดต่อที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ยุงลายจะได้รับเชื้อไวรัสเดงกีจากคนที่ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกและแพร่ไปสู่คนอื่น ๆ ผู้ที่ได้รับเชื้อส่วนใหญ่เป็นเด็กที่มีอายุ ต่ำกว่า 15 ปี ยุงลายจะออกหากินในตอนกลางวัน มักหลบซ่อนตัวในที่มืด อาศัยและวางไข่ทั่วไปในที่ๆมีน้ำขังในชุมชน แหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายจะอยู่ตามโอ่งน้ำ ภาชนะกักเก็บน้ำในห้องน้ำ จานรองกระถางต้นไม้ ยาง รถยนต์เก่า กระป๋อง กะลา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีรายงานทารกแรกเกิดติดเชื้อไวรัสเดงกีจากมารดาตั้งแต่อยู่ในครรภ์
โตแล้ว/เคยเป็นแล้ว จะเป็นไข้เลือดออกอีกได้หรือไม่
แม้ว่าผู้ป่วยไข้เลือดออกจะเป็นผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปีเป็นส่วนใหญ่ (ประมาณร้อยละ 70)โดยกลุ่มอายุที่พบมากที่สุด ได้แก่เด็กอายุ 5-14 ปี อย่างไรก็ตามมีรายงานผู้ป่วยไข้เลือดออกตั้งแต่อายุ 1 วันจนกระทั่งอายุมากกว่า 65 ปี หลังหายจากไข้เลือกออกแล้วจะมีภูมิคุ้มกันไม่ให้เป็นไข้เลือดออกทั้ง4 สายพันธุ์ประมาณ 1 ปี หลังจากนั้นภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ที่เป็นจะมีอยู่ตลอดไป ส่วนภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นจะหมดไปหลังจาก 1ปี หากมีการติดเชื้อครั้งที่ 2 จากสายพันธุ์ที่ต่างไปจากครั้งแรก อาจเป็นไข้เลือดออกที่รุนแรงได้
โรคไข้เลือดออกมีอาการอย่างไร
โดยทั่วไปหลังได้รับเชื้อเดงกี เด็กๆส่วนใหญ่จะไม่มีอาการหรือมีอาการเป็นไข้เพียงเล็กน้อยแล้วหายได้เอง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะมีอาการของไข้เลือดออก โดยหลังจากถูกยุงกัด 5-8 วันเด็กอาจมีอาการป่วยได้ตั้งแต่น้อยไปจนถึงมาก ส่วนใหญ่อาการจะมีเพียงกลุ่มอาการไวรัส คือ ไข้สูง หน้าแดง ปวดท้อง เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีผื่นเล็กน้อย 2-3 วัน ก็หายดี บางคนอาจมีอาการไข้เดงกี คือ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก อาจมีจุดเลือดออกได้ และเพลียอยู่หลายวัน
เด็กที่มีอาการของไข้เลือดออกจะมีอาการเริ่มต้นเป็นไข้สูง เฉียบพลัน อาจสูงถึง 40-41 องศาเซลเซียสปวดเมื่อยตามตัว หน้าแดง ปวดท้อง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน แต่ไม่มีอาการหวัดเด่นชัด เด็กๆ บางราย จะมีจุดเลือดออกขึ้นตามลำตัว แขน ขา อาการไข้จะเป็นอยู่ประมาณ 3-5 วัน แล้ว จึงเข้าสู่ระยะวิกฤติซึ่งไข้จะเริ่มลงพร้อมกับมีการรั่วของพลาสมา อาจทำให้เกิดอาการช็อกได้ มักพบว่าเมื่อไข้ลดลงผู้ป่วยกลับมีอาการแย่ลง ในระยะวิกฤตินี้เด็กบางรายอาจมีอาการซึม ชีพจรเต้นเร็วและเบา ตัวเย็น กระสับกระส่าย บางรายอาจมีความดันโลหิตตกจนช็อก อาจมีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ อาเจียนเป็นเลือด หรืออุจจาระเป็นสีดำ บางรายอาจมีอาการหนักมากจนไม่รู้สึกตัวและเสียชีวิตได้ โดยส่วนใหญ่ระยะวิกฤติจะกินเวลาประมาณ 1-2 วัน จากนั้นจะเข้าสู่ระยะฟื้นตัว ซึ่งผู้ป่วยจะเริ่มรับประทานอาหารได้ อาจมีผื่นเป็นวงสีขาวบนพื้นแดงที่ขาปลายเท้า ปลายมือ และมีอาการคัน
หากเด็กที่เป็นไข้เลือดออกรับประทานอาหารและน้ำได้ หรือมาพบแพทย์ตั้งแต่เริ่มต้นและได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ก็จะสามารถทำให้ผู้ป่วยผ่านพ้นระยะวิกฤตไปได้โดยไม่มีอาการรุนแรง
จะรู้ได้อย่างไรว่าบุตรหลานเป็นโรคไข้เลือดออก
เด็กๆ ที่มีอาการไข้ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ปวดท้อง หน้าแดงๆ หรือมีผื่นออกตามตัวให้สงสัยว่าจะเป็นไข้เลือดออกเสมอ โดยเฉพาะในช่วงใกล้หน้าฝนเช่นนี้ เพราะยุงเริ่มแพร่พันธุ์ได้มาก ควรนำมาพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจและรัดแขนเพื่อดูว่ามีจุดเลือดออกขึ้นไหม ถ้ามีจุดเลือดออกจะสงสัยไข้เลือดออกมากขึ้น อย่างไรก็ดีอาการไข้ในช่วง 2-3 วันแรกของโรคไข้เลือดออก จะแยกไม่ได้กับการติดเชื้อไวรัสอื่นๆ ซึ่งพบได้ในเด็กเช่นกัน การติดเชื้อไวรัสอื่นๆ อาจมีอาการไข้สูงเหมือนกับไข้เลือดออกในช่วงต้น แต่ไข้มักจะหายไปเองโดยเด็กดูสบายดีในเวลา 2-3 วัน ในขณะที่ถ้าเป็นไข้เลือดออกไข้จะยังคงมีอยู่ และเด็กจะดูอ่อนเพลีย ดังนั้นแพทย์มักจะต้องนัดผู้ป่วยมาติดตามดูอาการต่อไป การตรวจเลือดในวันที่ 1-2 ของไข้อาจไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นไข้เลือดออกหรือไม่ แต่การตรวจเลือดหลังวันที่ 3 ของไข้เพื่อดูความข้นของเลือด เม็ดเลือดขาว และเกร็ดเลือด มักจะพอบอกได้ว่าน่าจะเป็นไข้เลือดออก ดังนั้นแพทย์จะนัดผู้ป่วยที่ยังคงมีไข้หลัง 2-3 วันไปแล้ว มาทำการตรวจร่างกาย รัดแขน และตรวจเลือดด้วย
- มีต่อตอนที่ 2-