ออกอากาศ : วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2550  เวลา 13.50 น. (โดยประมาณ) ณ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7
เรื่อง: ไวรัสตับอักเสบเอในเด็ก
บทคัดย่อ:      ปัจจุบันพบว่า ไวรัสตับอักเสบชนิดเอที่เกิดขึ้นในเด็กพบได้น้อยลงเมื่อเทียบกับในอดีต เนื่องจากอนามัยส่วนบุคคลที่ดีขึ้น  รศ.พญ.กุลกัญญา  โชคไพบูลย์กิจ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ อธิบายว่า  ไวรัสตับอักเสบเอ เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งไวรัสดังกล่าวมักพบในน้ำมูก น้ำลาย เสมหะหรือในอุจจาระของผู้ที่เป็นพาหะ เมื่อได้สัมผัส
เชื้อไวรัสตับอักเสบเอจะสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ ทั้งนี้ เด็กที่ได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย จะเริ่มมีอาการ 15-50 วัน โดยในช่วง 3-7 วันแรกจะมีไข้ต่ำ ๆ  อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน เจ็บบริเวณชายโครงขวา  หลังจากนั้นจะสังเกตพบว่า ปัสสาวะจะมีสีเหลืองเข้มขึ้นเหมือนชา ช่วงนี้ไข้จะเริ่มลดลง อาการอาเจียนจะค่อย ๆ หายไป เริ่มอยากอาหาร ในขณะเดียวกันจะพบว่ามีอาการตัวเหลืองตาเหลือง อ่อนเพลีย ซึ่งเป็นอยู่ราว 1-4 สัปดาห์ และหายเป็นปกติ ในบางรายอาจมีอาการตับอักเสบรุนแรงได้
     สำหรับการรักษานั้น ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาเฉพาะ และไม่มียาฆ่าเชื้อ การรักษาส่วนใหญ่จึงรักษาตามอาการแบบประคับประคอง โดยให้เด็กพักผ่อนให้มาก ไม่ควรปล่อยให้เด็กเล่นซนในช่วงที่มีอาการตัวเหลือง อาจต้องให้พักการเรียนอย่างน้อย 2 สัปดาห์  ในเรื่องของอาหารนั้นหากยังมีอาการคลื่นไส้เบื่ออาหาร ควรเน้นให้เด็กรับประทานอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น น้ำหวาน เมื่อหายจากอาการคลื่นไส้เบื่ออาหาร จึงให้รับประทานทานอาหารทั่วไปตามปกติ และควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกไขมัน เพราะอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดและปวดท้องได้  อย่างไรก็ตามเนื่องจากเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ติดต่อได้ทางน้ำดื่มและอาหาร ดังนั้นหาก
ผู้ป่วยและคนใกล้ชิดไม่รักษาอนามัยส่วนบุคคลให้ดีแล้ว อาจเกิดการติดเชื้อหรือการแพร่ระบาดของโรคได้ นอกจากนี้ วิธีป้องกันอีกวิธีหนึ่ง คือการให้วัคซีน ซึ่งควรฉีดในวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน ส่วนเด็กให้ฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่อายุ 1 ปี ขึ้นไป และควรปรึกษาแพทย์หากต้องการฉีดวัคซีนนี้ การดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ รวมถึงการพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อลดการทำงานของตับไม่ให้มากเกินไป จะช่วยให้ตับซ่อมแซมตัวเองได้เร็วขึ้น ก็ถือเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบเอ ควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ร่างกายกลับสู่ปกติได้เร็วขึ้น

กลับสู่หน้ารายการโทรทัศน์พบหมอศิริราช