ออกอากาศ : วันที่ 12 ตุลาคม 2557  เวลา 13.50 น. (โดยประมาณ) ณ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7
เรื่อง: มะเร็งเต้านม - แมมโมแกรม แบบไหนที่ต้องเลือก
บทคัดย่อ:

         เมื่อเร็วๆ นี้  มีการเผยแพร่ในสื่อ online ว่า “...การทำแมมโมแกรมเพื่อค้นหามะเร็งเต้านม   ไม่มีประโยชน์  เมืองนอกเขาเลิกใช้กันแล้ว  ยิ่งกว่านั้นเครื่องยังกดเต้านมและใช้รังสีทำให้เกิดเป็นมะเร็งอีกด้วย”   ศ.ดร.นพ.พรชัย  โอเจริญรัตน์  ภาควิชาศัลยศาสตร์  มีคำตอบในเรื่องนี้

สำหรับการทำแมมโมแกรม มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รวมทั้งผลการวิจัยของสถาบันที่มีชื่อเสียงหลายแห่งทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปชี้ชัดว่า สามารถช่วยชีวิตผู้หญิงได้  และลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมได้อย่างต่อเนื่อง  เมื่อเทียบกับเมื่อ  50  ปี ที่ยังไม่มีการทำ   จะพบว่าอัตราการเสียชีวิตสูงมาตลอด และมีแนวโน้มที่สูงขึ้น 

         กล่าวได้ว่าผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมได้รับการช่วยเหลือให้รอดชีวิตได้นั้น   เป็นผลมาจากการทำแมมโมแกรมเป็นประจำมากกว่า  30 %  หรือประมาณ 15,000 – 20,000  คนต่อปี  และผู้ที่เคยเป็นมะเร็งได้รับการรักษา และใช้ชีวิตเป็นปกติดีในสหรัฐอเมริกามีกว่า 2.6 ล้านคน 

สำหรับประเทศไทย อัตราการเป็นมะเร็งเต้านมสูงขึ้นทุกปี และเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในหญิงไทย ซึ่งทางศูนย์ถันยรักษ์ โรงพยาบาลศิริราช ได้รณรงค์เผยแพร่ความรู้แก่หญิงไทยให้รู้จักเฝ้าระวังตนเอง  ด้วยแผนดูแลสุขภาพเต้านม 3 ขั้นตอน คือ 

1. ตรวจเต้านมด้วยตนเองเมื่ออายุ 20 ปี ขึ้นไป และตรวจเป็นประจำทุกเดือนด้วยวิธี Triple Touch  

2. ให้แพทย์ตรวจเมื่อมาตรวจร่างกายประจำปี

3. ทำแมมโมแกรม (Screening Mammogram) เป็นพื้นฐาน เมื่ออายุ 35 ปี

            เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการพิสูจน์ชี้ชัดว่า อะไรคือสาเหตุที่แท้จริง ดังนั้น  การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การค้นพบให้เร็วที่สุด จะช่วยรักษาชีวิตผู้ป่วยได้  จริงอยู่ที่ปัจจุบันการรักษาผู้ป่วยหลังผ่าตัดเต้านมด้วยการใช้เคมีบำบัดหรือฉายรังสีได้พัฒนาก้าวหน้ามาก และมีประสิทธิผลสูง แต่การรักษาจะช่วยชีวิตได้ดียิ่งขึ้น ถ้าพบมะเร็งในระยะแรกและทำการรักษาตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งหากไม่มีการทำแมมโม            แกรมก็คงเป็นไปได้ยาก  ในขณะที่การตรวจด้วยวิธีอื่น  จะไม่สามารถเห็นได้ชัดเจน ส่วนการกดและการใช้รังสี ทำให้เป็นมะเร็งเต้านมจริงหรือ ...

          การทำแมมโมแกรมนั้น จำเป็นต้องกดเต้านม เพื่อให้เนื้อเยื่อกระจายให้รังสีผ่าน  จะได้เห็นสิ่งผิดปกติในเนื้อเต้านมชัดเจน และรังสีที่ผู้มาตรวจได้รับก็น้อยมากรวมถึงการกดนั้นไม่ได้เจ็บมากเหมือนเมื่อ  30  ปีที่แล้ว  จากสถิติผู้มาตรวจแมมโมแกรม 60,000 ราย ที่ศูนย์ถันยรักษ์  พบว่า 98% เจ็บ แต่ทนได้  ส่วนปริมาณรังสีที่ใช้ น้อยเพียง 1.44 mSv ต่อครั้ง (ถ่ายข้างละ 2 ภาพ)   เมื่อเทียบกับ International Atomic Energy Agency (IAEA) ที่กำหนดปริมาณรังสีสำหรับแพทย์ นักรังสีการแพทย์ที่ทำงานเกี่ยวข้อง ต้องได้รับรังสีไม่เกินกว่า 20 mSv ต่อปี

ณ วันนี้ ในสหรัฐอเมริกาและในยุโรปยังมีการทำแมมโมแกรมแพร่หลาย และถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการค้นพบมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรก  ที่ศูนย์ถันยรักษ์ก็เช่นกัน ให้บริการตรวจวินิจฉัยโรคเต้านมครบวงจร ไม่เพียงส่งเสริมให้หญิงไทยตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ ยังทำแมมโมแกรมเป็นพื้นฐานเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปด้วย

กลับสู่หน้ารายการโทรทัศน์พบหมอศิริราช