ออกอากาศ : วันที่ 10 สิงหาคม 2557  เวลา 13.50 น. (โดยประมาณ) ณ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7
เรื่อง: ไวรัส อีโบลา
บทคัดย่อ:

1. อีโบลาคืออะไร

1. เป็นไวรัสก่อโรคไข้เลือดออกรุนแรงในคนและลิง  มีแหล่งอาศัยหลักที่ป่าดิบชื้นในทวีปแอฟริกา

2. ระบาดมาแล้วหลายครั้ง ขณะนี้มีการระบาดใหญ่ทางตะวันตกของทวีปแอฟริกา

3. เชื่อว่าค้างคาวเป็นแหล่งเชื้อ (โดยไม่เป็นโรค) อาจมีสัตว์ชนิดอื่นอีก ยังไม่รู้ว่ามีพาหะนำโรคหรือไม่

4. เชื้อมีความสามารถก่อโรคสูง  คนได้รับเชื้อเพียง 1 ตัว ก็เป็นโรคได้

5. เชื้อทำลายระบบภูมิคุ้มกันและระบบเลือดเป็นหลัก ต่อมาการทำงานอวัยวะต่างๆ จะล้มเหลว

2. ติดเชื้อจากที่ไหน

1. ติดจากการสัมผัสโดยตรงกับเลือด น้ำเหลือง สารน้ำของคนและสัตว์ที่เป็นโรค

2. ติดต่อได้ง่ายจากคนสู่คน หากสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือผู้เสียชีวิต

3. เชื้อเข้าทางผิวหนังหรือเยื่อเมือกที่มีแผลหรือรอยถลอก รวมถึงโดนวัตถุมีคมที่มีเชื้อตำ

4. ไม่ติดต่อทางการหายใจ แต่ถ้าได้รับสารน้ำ/ละอองอากาศที่มีเชื้อเข้าทางเดินหายใจ ก็เป็นโรคได้

5. หากได้รับเชื้อ อัตราการเป็นโรคสูงมาก และมีอัตราตายมากกว่า 50%

3.จะรู้ว่าติดเชื้อเมื่อไร

1. อาการในระยะแรก จะแยกได้ยากจากโรคที่มีไข้สูงอื่นๆ เช่น มาลาเรีย ไทฟอยด์

2. หลังได้รับเชื้อเฉลี่ย 1-2 สัปดาห์จะมีไข้สูง ปวดหัว ปวดตามตัว อ่อนแรง คล้ายไข้หวัด

3. ต่อมาจะมีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ  และผิวหนัง  ระบบต่างๆ ล้มเหลว เสียชีวิตได้ใน 1-2 สัปดาห์

4. การยืนยันการวินิจฉัยโรคต้องอาศัยการตรวจในห้องแล็บ โดยตรวจหาเชื้อ หรือภูมิต้านทานต่อเชื้อ 

5. การตรวจต้องทำในห้องแลปที่มีมาตรการความปลอดภัยสูงสุด (ระดับ 4) ซึ่งยังไม่มีในประเทศไทย

4.รู้จักเชื้อนี้ไปทำไม

1. ควรติดตามสถานการณ์อย่างมีสติ  ไม่ต้องหวาดกลัว  

2. ยังไม่เคยพบในประเทศไทย  โอกาสที่จะพบโรคมีได้  แต่น้อย

3. ยังไม่มียารักษาจำเพาะ  ไม่มีวัคซีนป้องกัน  ต้องรักษาประคับประคองตามอาการ

4. ผู้ที่มีความเสี่ยงคือคนที่ใกล้ชิดสัมผัสผู้ป่วย เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ญาติ และคนทำศพ

5. ถ้ามีไข้สูงและสงสัยติดเชื้อ ต้องแจ้งแพทย์ว่ามีประวัติสัมผัสผู้ป่วยหรือเดินทางไปถิ่นระบาดหรือไม่

5. เราจะป้องกันอย่างไร

1. ยังไม่มีข้อห้ามในการเดินทางไปในถิ่นระบาด แต่ควรหลีกเลี่ยง

2. เมื่อยังไม่มีผู้ป่วย ใช้หลักการรักษาสุขอนามัย-รักษาความสะอาดทั่วไป 

3. ถ้ามีผู้ป่วย/ผู้ที่อาจติดเชื้อ แพทย์จะแยกตัวผู้ป่วยทันทีและควบคุมการสัมผัสขั้นสูงสุด

4. ผู้ป่วยที่หายจากโรค จะมีเชื้อในเลือด น้ำเหลือง สารน้ำ ที่ยังแพร่ให้คนอื่นได้อีก 1-2 เดือน

5. เครื่องใช้ วัสดุ ที่สัมผัสกับผู้ป่วย ต้องทำลายหรือล้างด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทันทีอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ด้วยความร้อน  60 ° C  นาน 30 นาที,  ต้มเดือด 5 นาที,   อบด้วยรังสีแกมม่า/ยูวี หรือใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไป (เช่น โซเดียมไฮโปคลอไรท์)

 รวบรวมจากแหล่งข้อมูลอ้างอิงของ WHO

กลับสู่หน้ารายการโทรทัศน์พบหมอศิริราช