ออกอากาศ : วันที่ 7 กันยายน 2557  เวลา 13.50 น. (โดยประมาณ) ณ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7
เรื่อง: วัคซีน ป้องกันพิษสุนัขบ้า
บทคัดย่อ:

         ในปัจจุบันยังไม่มียาใดที่ใช้รักษาโรคพิษสุนัขบ้าได้  แต่เราป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน   ติดตามได้จาก รศ.นพ.วินัย  รัตนสุวรรณ  ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคมการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า  เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ Rabies virus โดยการฉีดวัคซีนมีได้ 2 รูปแบบ คือ การฉีดก่อนการสัมผัสเชื้อให้กับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกสัตว์กัดหรือการสัมผัสเชื้อจากสัตว์ที่เป็นโรค  เช่น บุรุษไปรษณีย์ หรือสัตวแพทย์ และการฉีดวัคซีนหลังถูกสัตว์กัดหรือสัมผัสสัตว์ที่อาจมีเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าอยู่ในตัว

              สำหรับการฉีดวัคซีนหลังการถูกสัตว์กัดหรือสัมผัสสัตว์ ซึ่งต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงของการติดเชื้อ ถ้ามีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้า ก็ต้องฉีดวัคซีน เช่น ถูกสัตว์เลียและน้ำลายสัตว์ถูกผิวหนังบริเวณที่มีแผลหรือรอยถลอก  การถูกสัตว์กัด   ถูกสัตว์ข่วนจนเป็นแผลและมีเลือดออก  หรือได้รับสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลายของสัตว์กระเด็นเข้าเยื่อบุตา ปาก จมูก หรือแผลตามผิวหนัง

             สำหรับการพิจารณาว่าจะต้องฉีดวัคซีนกี่ครั้ง   มีเกณฑ์การพิจารณาจากประวัติการได้รับวัคซีน  เช่น ไม่เคยฉีดวัคซีนมาก่อนเลย หรือเคยฉีดมาแล้วแต่น้อยกว่า 3 เข็ม เหล่านี้เป็นต้น     

              ส่วนวิธีการฉีดวัคซีนนั้น ฉีดได้  2 วิธี คือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular; IM) หรือฉีดเข้าผิวหนัง (Intradermal; ID)  ซึ่งทั้ง 2 วิธี จะมีข้อกำหนดของความชำนาญในการฉีดและปริมาณการฉีดในแต่ละครั้ง  เช่น  กรณีที่เลือกฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อต้นแขน จะต้องได้รับการฉีด  5  ครั้ง หรือ 3  ครั้ง  ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคพิษสุนัขบ้า และประวัติการฉีดวัคซีนในอดีตของผู้ป่วย แต่ถ้าเป็นการฉีดเข้าผิวหนังบริเวณต้นแขน จะต้องได้รับการฉีด 4  หรือ 5 ครั้ง  ซึ่งขึ้นอยู่กับการฉีดว่า ฉีดครั้งละกี่จุด  

              อย่างไรก็ตาม  การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าด้วยการฉีดวัคซีนก่อนสัมผัส  เชื้อจะได้ผลดีกว่าการฉีดวัคซีนหลังสัมผัสเชื้อ   และต้องฉีดตามวันและปริมาณที่กำหนด เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อจากพิษสุนัขบ้า ซึ่งหลังจากได้รับวัคซีนแล้ว  อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นบ้าง  โดยอาการจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย เช่น บางรายมีอาการปวด แดง ร้อน คัน หรือ มีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายเองเมื่อได้รับการรักษาด้วยยาตามอาการ

กลับสู่หน้ารายการโทรทัศน์พบหมอศิริราช