ออกอากาศ : วันที่ 3 พฤศจิกายน 2556  เวลา 13.50 น. (โดยประมาณ) ณ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7
เรื่อง: เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
บทคัดย่อ:

              ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่  แม้จะไม่ทำอันตราย แต่ก็สร้างความทรมานให้ไม่น้อย   ภาวะนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร อ.พญ.พัทยา  เฮงรัศมี    ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา มีคำตอบค่ะ

             เยื่อบุโพรงมดลูกมีหน้าที่สร้างประจำเดือน ดังนั้นเมื่อเยื่อบุเหล่านี้ไปเจริญอยู่ผิดที่ ก็จะทำให้มีการสร้างเลือดประจำเดือนขังอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ภายในอุ้งเชิงกราน เช่น เยื่อบุช่องท้อง ผนังมดลูกและรังไข่ จึงมองเห็นเป็นจุดเลือดออกสีดำ หรือหากมีปริมาณมากก็จะเห็นเป็นเลือดเก่าๆ ลักษณะข้นคล้ายช็อกโกแลต ที่เรียกกันว่า “ช็อกโกแลตซีสต์”  

              เยื่อบุโพรงมดลูกที่ไปเจริญอยู่ผิดที่เหล่านี้ มีผลทำให้เกิดการอักเสบและเกิดพังผืดขึ้นในอุ้งเชิงกราน ผู้ป่วยจึงมักมีอาการปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง บางรายถึงกับปวดมากจนต้องหยุดงาน และในกรณีที่รอยโรคอยู่ใกล้กับลำไส้ตรง ก็มักทำให้มีอาการปวดหน่วงลงทวารหนักในช่วงที่มีรอบเดือน ส่วนอาการอื่นๆ ที่พบได้บ่อย ได้แก่ ปวดท้องน้อยเรื้อรัง เจ็บในอุ้งเชิงกรานขณะมีเพศสัมพันธ์ เลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน และภาวะมีบุตรยาก

             สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ พบว่าสตรีที่เริ่มมีประจำเดือนครั้งแรกเร็วกว่าปกติ ประจำเดือนออกมาก มานานหลายวันและมาถี่ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่สูงกว่าสตรีทั่วไป

             แพทย์สามารถให้การวินิจฉัยโรคนี้ได้จากการตรวจภายในหรือการตรวจทางทวารหนัก โดยอาจพบว่ามดลูกมีขนาดโตกว่าปกติ หรือมดลูกอาจเอียงหรือคว่ำหลังจากการที่มีพังผืดดึงรั้ง อาจคลำพบตุ่มแข็งกดเจ็บด้านหลังมดลูก หรือคลำพบก้อนหรือถุงน้ำบริเวณรังไข่ สำหรับกรณีที่ผลการตรวจร่างกายยังไม่ชัดเจน แพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยเครื่องอัลตร้าซาวนด์ทางช่องคลอดหรือทางทวารหนัก หรือบางครั้งอาจจำเป็นต้องส่องกล้องตรวจภายในช่องท้อง

             การรักษาในเบื้องต้น ได้แก่ การใช้ยาแก้ปวดกลุ่มที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ   ส่วนการรักษาที่เฉพาะเจาะจง จะใช้ฮอร์โมน ซึ่งมีทั้งชนิดกินและชนิดฉีด เช่น ยาเม็ดและยาฉีดคุมกำเนิด  ฮอร์โมนเหล่านี้จะออกฤทธิ์กดการทำงานของรังไข่ มีผลทำให้รอยโรคเกิดการฝ่อ จึงช่วยลดอาการปวดลงได้ แต่ข้อเสีย ผู้ป่วยจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ดังนั้นหากผู้ป่วยต้องการมีบุตร จึงควรรักษาด้วยการผ่าตัด  ซึ่งวิธีที่นิยมและเป็นมาตรฐาน คือ การผ่าตัดโดยใช้กล้อง เนื่องจากแผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้เร็ว และที่สำคัญคือ มีโอกาสเกิดพังผืดภายหลังการผ่าตัดน้อยกว่าวิธีการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ยังต้องการมีบุตรในอนาคต

กลับสู่หน้ารายการโทรทัศน์พบหมอศิริราช