การเกิดโรคต้อหินส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าเกิดจากกรรมพันธุ์ ความจริงแล้ว ต้อหินยังพบได้ในคนที่สายตาสั้นหรือยาวมากๆ คนที่เป็นเบาหวาน ผู้สูงอายุ และนอกจากนี้ยังพบได้จากการใช้ยา ซึ่งถ้าไม่อยากตามัวจากต้อหิน รศ.นพ.นริศ กิจณรงค์ ภาควิชาจักษุวิทยา มีคำแนะนำค่ะ
โรคต้อหินเกิดจากขั้วประสาทตาถูกทำลายทีละน้อยเนื่องจากจากความดันตาที่เพิ่มขึ้น แต่สาเหตุสำคัญอีกอย่างที่ทำให้เกิดต้อหินได้เช่นกันก็คือ การใช้ยาหยอดตาประเภทสเตียรอยด์ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น เพราะยาหยอดตาประเภทสเตียรอยด์ นอกจากจะแก้อาการคัน และระคายเคืองตาแล้ว ยังช่วยรักษาโรคภูมิแพ้ได้เป็นอย่างดี จึงทำให้คนทั่วไปซื้อยาหยอดตาประเภทสเตียรอยด์มาใช้เอง หรือในผู้ป่วยบางรายที่เคยได้รับยาจากจักษุแพทย์ เมื่อยาหมดก็จะไปซื้อมาใช้เอง ส่งผลให้ดวงตาได้รับปริมาณยามากเกินไป จนถึงขั้นทำให้เกิดโรคต้อหิน และหากใช้ยาอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้มีอาการตามัวลง ๆ เรื่อย ๆ จนถึงขั้นตาบอดสนิทได้
สำหรับการใช้ยาที่ออกฤทธิ์ในการรักษาโรคต่างๆ เช่น ยาปฏิชีวนะ ยารักษาโรคต้อต่างๆ ยาแก้แพ้สเตียรอยด์ ควรปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพราะการที่ผู้ป่วยซื้อยามาใช้เองอาจรักษาได้ไม่ตรงกับโรคและทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยา เช่น การแพ้ยา การติดเชื้อกำเริบมากขึ้น แต่ถ้าเป็นยาที่ไม่อันตราย เช่น น้ำตาเทียม ยาล้างตา ก็สามารถซื้อใช้เองได้
ส่วนกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นโรคต้อหินจากการใช้ยา ได้แก่ ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือการอักเสบเรื้อรังที่ตา และจำเป็นต้องรักษาด้วยยาลดการอักเสบประเภทสเตียรอยด์ รวมทั้งกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน เช่น ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ ผู้ป่วยโรคไต หรือผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติที่ต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ทั้งยารับประทาน ยาฉีด ยาพ่นจมูก รวมทั้งยาป้ายบริเวณใบหน้า หรือรอบดวงตา
ปัจจุบันการรักษาโรคต้อหินด้วยการลดความดันตา เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด เริ่มจาก 1. การใช้ยา โดยผู้ป่วยอาจใช้ยาเพียงชนิดเดียวก่อน หากยังไม่สามารถควบคุมโรคไว้ได้ ก็อาจใช้ยาหยอดตาหลายชนิดร่วมกัน 2. การรักษาโดยใช้แสงเลเซอร์ หรือ 3. การผ่าตัด ซึ่งทั้ง 3 วิธี จักษุแพทย์จะเป็นผู้ตรวจวินิจฉัย พิจารณาการรักษา และสั่งยาเท่านั้น
|