โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียเป็นโรคทางพันธุกรรม ที่ถ่ายทอดจากยีนต้นกำเนิดของพ่อและแม่ ปัจจุบันพบผู้ป่วยในประเทศไทยมากถึง 6 แสนราย หากไม่ได้รับการดูแลรักษา อาจส่งผลต่อเนื่องตามระดับความรุนแรงของโรค ซึ่ง ผศ.พญ. กลีบสไบ สรรพกิจ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ มีคำแนะนำในการดูแลรักษาผู้ป่วยโลหิตจางธาลัสซีเมีย
เนื่องจากโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียในประเทศไทย มีหลายชนิดและมีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกัน ชนิดที่รุนแรงที่สุด ทารกจะบวมน้ำและอาจเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ส่วนชนิดที่ค่อนข้างรุนแรงช่วงทารกแรกเกิดจะปกติ แต่ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุ 1-2 ปี โดยมักจะมีอาการซีดเรื้อรัง ตัวเหลือง อ่อนเพลีย เจริญเติบโตไม่สมอายุ ตับและม้ามโต กระดูกใบหน้าเปลี่ยนรูป มีจมูกแบน กะโหลกศีรษะหนา โหนกแก้มนูนสูง ชนิดที่มีอาการน้อย ผู้ป่วยจะซีดเล็กน้อยหรือไม่ซีดเลย แต่ถ้ามีไข้หรือติดเชื้อ จะมีอาการซีดลงได้มากและเร็ว ซึ่งถ้ามีอาการไข้หรือติดเชื้อรุนแรง อาจเกิดภาวะการทำงานของหัวใจล้มเหลวได้
การรักษาโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ส่วนใหญ่เป็นการรักษาแบบประคับประคองโดยการให้เลือด ซึ่งมี 2 แบบคือ แบบแรก เป็นการให้เลือดแบบประคับประคองเมื่อผู้ป่วยซีดมาก เพื่อเพิ่มระดับฮีโมโกลบินขึ้นให้สูงพอที่ผู้ป่วยจะหายจากอาการอ่อนเพลียหรือเหนื่อยจากการขาดออกซิเจน โดยให้ตามความจำเป็น และแบบที่ 2 เป็นการให้เลือดจนผู้ป่วยมีระดับฮีโมโกลบินใกล้เคียงเด็กปกติ ซึ่งส่วนมากจะให้แก่ผู้ป่วยชนิดรุนแรง ที่เริ่มมีอาการตั้งแต่อายุน้อยๆ การให้เลือดอย่างสม่ำเสมอจะยับยั้งการเปลี่ยนแปลงของลักษณะกระดูกใบหน้า ป้องกันไม่ให้ตับและม้ามโต ไม่เหนื่อย และมีการเจริญเติบโตใกล้เคียงเด็กปกติทั้งความสูงและน้ำหนักตัว แต่ข้อเสียของการให้เลือดวิธีนี้คือ ผู้ป่วยต้องมารับเลือดอย่างสม่ำเสมอและจะมีปัญหาที่สำคัญแทรกซ้อนตามมา คือภาวะธาตุเหล็กเกิน เพราะการให้เลือดทุก 1 มิลลิลิตรของเม็ดเลือดแดง จะมีธาตุเหล็กประมาณ 1 มิลลิกรัม ธาตุเหล็กที่ได้รับนี้จะตกค้างอยู่ในร่างกายและไปสะสมในอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ ตับ และตับอ่อน
ในผู้ป่วยที่ได้รับเลือดตั้งแต่ 10-12 ครั้งขึ้นไป จะเริ่มมีภาวะธาตุเหล็กเกิน จึงจำเป็นต้องให้ยาขับธาตุเหล็ก ซึ่งในอดีตต้องให้โดยวิธีฉีดเข้าใต้ผิวหนังช้าๆ ใช้เวลาครั้งละ 10-12 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 5-6 วัน จึงจะขับธาตุเหล็กออกได้เต็มที่ และต้องฉีดยาดังกล่าวตลอดชีวิต ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าในการใช้ยาขับเหล็กในรูปยารับประทาน ซึ่งมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีประสิทธิภาพและผลแทรกซ้อนที่แตกต่างกันไป ดังนั้นผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนจะตัดสินใจเลือก ใช้ยาดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีวิธีการรักษาที่ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสหายขาดจากโรคได้ คือ การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด แต่เป็นการรักษาที่มีความเสี่ยงสูง จึงใช้รักษาเฉพาะในรายที่เป็นธาลัสซีเมียชนิดที่มีอาการรุนแรงเท่านั้น
สำหรับผู้ป่วยธาลัสซีเมีย ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ผาดโผน เนื่องจากมีกระดูกเปราะและหักได้ง่าย และควรดูแลสุขภาพฟันสม่ำเสมอ นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม อาหารที่มีวิตามินโฟเลทสูง เช่น ผักสดต่างๆ รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ตับ เลือดหมู และเลือกเครื่องดื่มประเภทน้ำชา น้ำเต้าหู้ ซึ่งจะช่วยลดการดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารได้บ้าง
|