ภาควิชาตจวิทยา
ห้องปฏิบัติการตจวิทยาภูมิคุ้มกัน
1.การทดสอบที่ให้บริการ
ห้องปฏิบัติการตจวิทยาภูมิคุ้มกัน ให้บริการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยแบ่งประเภทการทดสอบตามกลุ่มการใช้งานเป็น 2 กลุ่มการทดสอบ ดังนี้
การทดสอบโดยใช้ชิ้นเนื้อผิวหนังของผู้ป่วย
การทดสอบโดยการใช้ซีรั่มของผู้ป่วย
Bullous pemphigoid (BP) antibody
IgA anti - basement menbrane zone (BMZ) antibody
2.ใบขอตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การขอส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการตจวิทยาภูมิคุ้มกัน
1. กรณีเป็นการขอส่งตรวจจากภายในโรงพยาบาลศิริราช ให้ใช้ใบขอส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตจวิทยาภูมิคุ้มกัน
2. กรณีเป็นการขอส่งตรวจจากภายนอกโรงพยาบาลศิริราช สามารถใช้ใบขอส่งตรวจทางหน่วยงาน หรือห้องปฏิบัติการต้นทางได้ โดยต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับการขอส่งตรวจ ที่สำคัญ คือ
1. ชื่อ-นามสกุล และหมายเลขประจำตัว (เช่น HN) ของผู้ป่วย
2. ระบุชนิดของสิ่งส่งตรวจว่าเป็นเลือดหรือชิ้นเนื้อ
3. ระบุวิธีการติดต่อกลับไปยังห้องปฏิบัติการต้นทาง
4. ระบุชื่อแพทย์ผู้ขอส่งตรวจ
5. ระบุวันที่และเวลาที่เจาะเลือดหรือตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจ
6. ถ้าเป็นชิ้นเนื้อให้ระบุว่าเป็นชิ้นเนื้อสดหรือชิ้นเนื้อแช่น้ำยา modified Michels transport medium
7. ระบุชนิดการขอตรวจว่าปกติ หรือด่วน
8. กรอกข้อมูลเกี่ยวกับประวัติ และการตรวจร่างกายพร้อมทั้งการวินิจฉัยเบื้องต้น
ใบขอตรวจสำหรับส่งตรวจเลือดปกติ หน้าที่ 1 | ใบขอตรวจสำหรับส่งตรวจเลือดปกติ หน้าที่ 2 |
---|---|
คลิกที่รูปเพื่อดูภาพขนาดใหญ่ |
3.คำแนะนำในการกรอกใบส่งตรวจ
คำแนะนำในการกรอกใบขอส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1. กรอกข้อมูลในใบขอส่งตรวจให้ครบถ้วน
2. ทำเครื่องหมายเพื่อระบุชนิดการตรวจที่ต้องการขอส่งตรวจในช่องที่กำหนด
3. ระบุชื่อแพทย์ผู้ขอส่งตรวจทุกครั้ง
4. ระบุวันที่และเวลาที่เจาะเลือดหรือตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจ
5. ถ้าเป็นชิ้นเนื้อให้ระบุว่าเป็นชิ้นเนื้อสดหรือชิ้นเนื้อแช่น้ำยา modified Michels transport medium
การขอตรวจในกรณีที่ต้องการผลด่วน
ในกรณีที่ผู้ใช้บริการต้องการทราบผลด่วน ให้ปฏิบัติดังนี้
1. ทำเครื่องหมาย " " ในช่องคำว่า "ด่วน" พร้อมทั้งระบุเหตุผล ในใบขอตรวจ ที่ส่งมาพร้อมกับสิ่งส่งตรวจนั้น เพื่อให้ห้องปฏิบัติการทราบและแยกออกไปทำการตรวจก่อน
2. ขอความร่วมมือให้ผู้ใช้บริการขอผลด่วน เฉพาะกรณีที่เป็นผู้ป่วยใน ที่ต้องการผลการตรวจไปประกอบการรักษาด่วน หรือผู้ป่วยภายนอกที่ผ่านการปรึกษากับอาจารย์แพทย์ของภาควิชาฯก่อน โดยห้องปฏิบัติการจะรายงานผลในกรณีขอผลด่วนภายใน 3 วันทำการ
4.การเก็บสิ่งส่งตรวจ
|
---|
ไม่มีการเตรียมผู้ป่วยเป็นพิเศษในการขอส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการตจวิทยาภูมิคุ้มกัน
การส่งตรวจ Indirect immunofluorescence
1. การเลือกชนิดของหลอดเก็บเลือด และปริมาณเลือดที่ใช้ในการตรวจ indirect immunofluorescence ซึ่งประกอบด้วย
1.1 Pemphigus antibody
1.2 Bullous pemphigoid (BP) antibody
1.3 IgA anti - basement membrane zone (BMZ) antibody
1.4 Herpes gestationis (HG) factor
1.5 Paraneoplastic pemphigus
* Clotted blood (หลอดจุกสีแดง)* 5 ml. หรือtube ที่ไม่มีสารกันเลือดแข็ง anticoagulant
* หลอดจุกสีแดง: ภายในหลอดบรรจุ activator ที่ทำให้เกิด clot
2. การติดป้ายชื่อ-นามสกุลผู้ป่วย บนหลอดเก็บเลือด ควรปฏิบัติดังนี้
2.1 ปิด sticker เป็นแนวตรงตามแนวยาวของหลอดเก็บเลือด ไม่ม้วนเกลียวรอบหลอด
2.2 เมื่อปิด sticker แล้ว ต้องยังมองเห็นแถบสีที่บอกชนิดของหลอดเลือด และเว้นช่องว่างให้เห็นขีดบอกระดับเลือดที่ต้องเจาะ และระดับเลือดที่ใส่ลงในหลอดเก็บเลือด
2.3 ถ้า sticker ยาวเกินหลอดเลือด ให้ตัดส่วนที่เกินออก หรือพับ sticker ส่วนเกินเข้าหา กัน โดยต้องยังสามารถอ่าน HN และชื่อ-นามสกุลของผู้ป่วยได้อย่างชัดเจน
3. การเจาะเลือด มีข้อปฏิบัติดังนี้
3.1 ห้ามเปิดจุกหลอดเก็บเลือด ซึ่งเป็นหลอดสูญญากาศ (vacutainer) แม้จะไม่เจาะเลือดด้วยระบบสุญญากาศ โดยตรงและหลังจากเจาะเลือดตามวิธีปกติแล้ว ให้ใช้เข็มแทงทะลุผ่านจุกยางแล้วค่อย ๆ ให้ระบบสุญญากาศดูดเลือดเข้าไปเอง โดยไม่ต้องดันลูกสูบของกระบอกเพื่อฉีดเลือดลงไป เพราะจะทำให้เม็ดเลือดแดงแตก
3.2 เมื่อใส่เลือดลงหลอดเก็บเลือดแล้วพลิกคว่ำหลอด 5 ครั้ง
3.3 ระบุวันเวลาที่เจาะเลือดลงในใบส่งตรวจ
3.4 ใส่หลอดเก็บเลือดในถุงพลาสติกใส และมัดปากถุงให้สนิทเพื่อไม่ให้น้ำเข้า
4. การนำเลือดส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ มีข้อปฏิบัติดังนี้
4.1 ควรนำส่งห้องปฏิบัติการทันทีหรือภายใน
6 ชั่วโมง ถ้าไม่สามารถนำส่งห้องปฏิบัติการได้ภายใน6 ชั่วโมง ให้นำหลอดเลือด (clotted blood) ใส่ตู้เย็น 2-8 °C และนำส่งในวันถัดไป4.2 ถ้าจำเป็นต้องเก็บไว้นานเกิน 24 ชั่วโมงให้ปั่นแยกเป็นซีรั่มด้วยเครื่องปั่น (centrifuge) ความเร็ว 3,000 rpm นาน
5-10 นาที และเก็บหลอดซีรั่มไว้ในตู้เย็น2-8 °C หรือ ช่องแช่แข็ง
การตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจ Direct immunofluorescence
1. การตัดชิ้นเนื้อ มีข้อปฏิบัติ ดังนี้
1.1 ตรวจดู sticker ที่แสดงชื่อ-นามสกุล HN ของผู้ป่วยที่ติดบนใบขอส่งตรวจ และหลอดเก็บชิ้นเนื้อต้องตรงกัน
1.2 ขานชื่อ-นามสกุลผู้ป่วยทุกครั้ง และก่อนจะลงมือตัดชิ้นเนื้อ ต้องถามชื่อและนามสกุลของผู้ป่วย และตรวจสอบอีกครั้งเพื่อแน่ใจว่าตรงกับข้อมูลใน sticker ที่ติดอยู่บนใบขอส่งตรวจ และหลอดเก็บชิ้นเนื้อ
1.3 ผู้ป่วยต้องเซ็นใบยินยอมให้ทำการตัดชิ้นเนื้อทุกครั้ง
2. การบรรจุชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ มีข้อปฏิบัติดังนี้
2.1 กรณีชิ้นเนื้อสด (fresh tissue) ที่นำส่งห้องปฏิบัติการภายใน
6 ชั่วโมง - แพทย์ตัดชิ้นเนื้อ (skin biopsy) ของผู้ป่วยแล้วนำใส่ใน cryotube สำหรับ immunologic study หรือขวดแก้ว sterile อาจใส่ NSS เล็กน้อยให้ท่วมชิ้นเนื้อแล้ว ใส่ในถุงพลาสติกมัดปากถุงให้แน่น แช่เย็นที่อุณหภูมิ 2-8 °C ตลอดหลังจากการตัดชิ้นเนื้อ และนำส่งห้องปฏิบัติการภายใน 6 ชั่วโมง
2.2 กรณีชิ้นเนื้อสด (fresh tissue) ที่
ไม่สามารถ นำส่งห้องปฏิบัติการภายใน6 ชั่วโมง - ให้นำ skin biopsy ใส่ในหลอดบรรจุน้ำยา modified Michel's transport medium ปริมาณต้องไม่น้อยกว่า 10 เท่าของขนาดชิ้นเนื้อ แล้วนำส่งห้องปฏิบัติการ
ภายใน 7 วัน
5.การติดป้ายชื่อผู้ป่วยบนหลอดสิ่งส่งตรวจ
การติดป้ายชื่อผู้ป่วย ขอให้ปฏิบัติดังนี้
1. ปิด sticker เป็นแนวตรง ไม่ม้วนเกลียว
2. เมื่อปิด sticker แล้วต้องมองเห็นแนวแถบสีที่บอกชนิดของหลอดเลือด และเว้นช่องว่างให้เห็นขีดบอกระดับเลือดที่ต้องเจาะและระดับเลือดที่ส่งใส่ลงมาในหลอดเลือด
3. หาก sticker ยาวเกินหลอดเลือด ให้ตัดหรือพับส่วนที่เกินออกได้ โดยให้เหลือส่วนที่เป็น HN. และชื่อ หรือจะพับ Sticker ส่วนที่เกินเข้าหากันได้
6.การส่งสิ่งส่งตรวจ
1. นำหลอดเก็บชิ้นเนื้อสด (fresh tissue) ใส่ในถุงพลาสติกใสแช่ในน้ำแข็งระหว่างนำส่ง และควรนำส่งสิ่งส่งตรวจด้วยความรวดเร็ว โดยทั่วไปไม่เกิน 6 ชั่วโมงหลังตัดชิ้นเนื้อ เนื่องจากการเก็บสิ่งส่งตรวจไว้นานเกินไปมีผลกระทบต่อความถูกต้องของผลการทดสอบ
2. หลอดเก็บชิ้นเนื้อที่แช่ใน modified Michel's transport medium ไม่จำเป็นต้องแช่น้ำแข็งขณะนำส่ง แต่ถ้ายังไม่ส่งทันทีให้แช่ตู้เย็น 2-8 °C ไว้ก่อนและโปรดนำส่งห้องปฏิบัติการภายใน 7 วัน
3. นำหลอดเก็บเลือดที่ไม่ได้ปั่นแยกใส่ในถุงพลาสติก และควรนำส่งสิ่งส่งตรวจด้วยความรวดเร็ว โดยทั่วไปไม่เกิน 6 ชั่วโมงหลังเจาะเลือด
4. หลอดเก็บเลือด ถ้าไม่สามารถนำส่งได้ภายใน 6 ชั่วโมง ต้องแช่ตู้เย็น 2-8 °C ไว้ หรือถ้าจำเป็นต้องเก็บไว้นานเกิน 24 ชั่วโมง ควรปั่นแยกซีรั่มและเก็บซีรั่มใส่หลอดแช่ตู้เย็น
5. การนำส่งสิ่งส่งตรวจจากหน่วยงานต้นทางมาสู่ห้องปฏิบัติการ ควรใส่ในกล่องหรือภาชนะพลาสติกที่มีฝาปิดมิดชิด วางหลอดเก็บสิ่งส่งตรวจในแนวตั้ง หรือใส่ในถุงพลาสติกมัดปากถุงให้แน่น
6. สถานที่ และช่วงเวลาที่สามารถนำส่งสิ่งส่งตรวจ
-
สถานที่นำสิ่งส่งตรวจ : ห้องปฏิบัติการตจวิทยาภูมิคุ้มกัน ภาควิชาตจวิทยา ตึกเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 9 ห้อง 927 เบอร์โทรศัพท์ 0-2419-4314- เวลาทำการ : วันและเวลาราชการ (จันทร์-ศุกร์) ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.
|
---|
1. กรอกใบส่งตรวจของห้องปฏิบัติการตจวิทยาภูมิคุ้มกัน ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลหรือของห้องปฏิบัติการต้นทางได้ โดยต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับการขอส่งตรวจให้ครบถ้วน ดังนี้
- ชื่อ-นามสกุล และหมายเลขประจำตัว (เช่น HN) ของผู้ป่วย
- ระบุชนิดของการตรวจที่ต้องการขอส่งตรวจ
- ระบุชื่อแพทย์ผู้ขอตรวจ
- ระบุวัน และ เวลาที่เจาะเลือดหรือตัดชิ้นเนื้อ
- ถ้าเป็นชิ้นเนื้อให้ระบุว่าเป็นชิ้นเนื้อสดหรือชิ้นเนื้อแช่น้ำยา modified Michels transport medium
- ประวัติอาการ และการวินิจฉัยโรคเบื้องต้น
2. ส่งชิ้นเนื้อหรือเลือดของผู้ป่วยพร้อมกับใบส่งตรวจ นำส่งที่ห้องปฏิบัติการตจวิทยาภูมิคุ้มกัน ภาควิชาตจวิทยา ตึกเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 9 ห้อง 927 ในวันและเวลาราชการ (จันทร์-ศุกร์) ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ทางห้องปฏิบัติการจะออกใบ invoice เพื่อให้นำไปชำระค่าตรวจที่ห้องการเงิน ตึกสยามินทร์ ชั้น 1 และออกแบบฟอร์มรับสิ่งส่งตรวจภายนอกให้ผู้มาส่งตรวจ เพื่อนัดวันให้มารับผล
3. ถ้าส่งชิ้นเนื้อสด ที่ไม่ได้แช่ใน modified Michel's transport medium ให้แพทย์หรือพยาบาลโทรนัดกับเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการฯ ก่อนเพื่อเตรียมรับชิ้นเนื้อ ที่หมายเลข 0-2419-4314
4. ถ้าส่งชิ้นเนื้อหรือเลือดทางไปรษณีย์ ให้แช่ชิ้นเนื้อในน้ำยา modified Michel's transport medium นำส่งที่อุณหภูมิปกติ ไม่จำเป็นต้องแช่เย็น ส่วนหลอดเก็บเลือดให้บรรจุในกล่องเก็บความเย็นพร้อมใส่น้ำแข็งแห้งระหว่างนำส่ง จ่าหน้าถึงผู้รับคือ นายสำรวย ปิ่นแก้ว ภาควิชาตจวิทยา ตึกเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 9 โรงพยาบาลศิริราช เลขที่ 2 ถนนวังหลัง แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพ 10700
|
---|
1.
Code | Description |
---|---|
RJ01 | การติดป้ายหรือเขียนชื่อ-นามสกุล ในใบส่งตรวจกับภาชนะสิ่งส่งตรวจไม่ตรงกัน |
RJ02 | ไม่ติดป้ายหรือเขียนชื่อ-นามสกุลบนภาชนะสิ่งส่งตรวจ |
RJ03 | ไม่ติดป้ายหรือเขียนชื่อ-นามสกุลบนใบส่งตรวจ |
RJ04 | การส่งสิ่งส่งตรวจโดยไม่มีใบส่งตรวจ |
RJ05 | สิ่งส่งตรวจเก็บในภาชนะที่ไม่ถูกต้อง |
RJ06 | สิ่งส่งตรวจหกเลอะภาชนะที่เก็บสิ่งส่งตรวจหรือใบส่งตรวจ |
RJ07 | ปริมาณสิ่งส่งตรวจไม่เพียงพอ |
RJ09 | สิ่งส่งตรวจส่งถึงห้องปฏิบัติการช้ากว่ากำหนดเวลาที่ห้องปฏิบัติการกำหนด |
RJ14 | ไม่มีสิ่งส่งตรวจ (specimen) |
RJ15 | ไม่ทำรายการตรวจนี้ |
RJ16 | สิ่งส่งตรวจมีความซ้ำซ้อน |
RJ17 | สิ่งส่งตรวจผิดประเภท หรือไม่เหมาะสมแก่การตรวจ |
RJ18 | ชื่อกับ HN ไม่ใช่ผู้ป่วยรายเดียวกัน |
RJ19 | ส่งผิดห้องปฏิบัติการ |
RJ20 | ไม่ระบุรายการขอตรวจ |
RJ21 | ส่งตรวจแบบ IPD แต่ไม่มี AN |
RJ23 | ไม่ระบุชนิดสิ่งส่งตรวจ |
RJ24 | ไม่ระบุเวลาเจาะเลือด สำหรับการทดสอบที่เวลามีผลกระทบ |
RJ25 | สิ่งส่งตรวจเก็บที่อุณหภูมิไม่เหมาะสมขณะนำส่ง |
RJ99 | อื่น ๆ |
2. เมื่อพบสิ่งส่งตรวจที่ไม่ได้มาตรฐานตามเกณฑ์การปฏิเสธสิ่งตรวจของห้องปฏิบัติการฯ เจ้าหน้าที่ผู้รับสิ่งส่งตรวจจะทำการปฏิเสธสิ่งส่งตรวจ โดยปฏิบัติดังนี้
2.1 โทรศัพท์แจ้งการปฏิเสธสิ่งส่งตรวจไปยังผู้รับผิดชอบการขอส่งตรวจ/การดูแล ผู้ป่วยรับทราบ และดำเนินการแก้ไข
2.2 ส่งคืนสิ่งส่งตรวจที่ถูกปฏิเสธและใบขอส่งตรวจพร้อมใบแจ้งการปฏิเสธสิ่งส่งตรวจ กลับไปยังหน่วยงานต้นทาง
2.3 หน่วยงานต้นทางทำการแก้ไขให้ถูกต้อง และนำส่งใหม่พร้อมใบขอส่งตรวจใบใหม่
7.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
|
---|
1. การทดสอบที่ขอเพิ่มได้ เฉพาะกรณีที่ขอตรวจเพิ่มภายในเวลา 1 เดือน หลังการเก็บสิ่งส่งตรวจที่จะใช้ตรวจเพิ่ม และมีสิ่งตรวจเหลืออยู่เพียงพอต่อการตรวจ
2. วิธีปฏิบัติในการขอส่งตรวจเพิ่มโดยใช้สิ่งส่งตรวจเดิมที่เคยส่งมาแล้ว (เฉพาะการทดสอบที่สามารถขอส่งตรวจเพิ่มได้เท่านั้น)
2.1 โทรศัพท์ติดต่อเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจสอบว่ามีสิ่งส่งตรวจที่ถูกต้องตามเกณฑ์ที่ระบุ และมีปริมาณเพียงพอหรือไม่
2.2 ในกรณีที่ตรวจสอบแล้วพบว่าสามารถขอส่งตรวจเพิ่มโดยใช้สิ่งส่งตรวจเดิมได้ให้ดำเนินการกรอกใบขอส่งตรวจฉบับใหม่ ระบุชนิดการทดสอบที่จะขอส่งตรวจเพิ่ม พร้อมทั้งระบุในใบขอส่งตรวจใหม่ให้ชัดเจนด้วยว่าเป็นการขอส่งตรวจเพิ่มโดยใช้สิ่งส่งตรวจเดิมที่เก็บไว้เมื่อใด
2.3 ส่งใบขอส่งตรวจเพิ่ม มาตามกระบวนการขอส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการของคณะฯ ตามปกติ
8.การรายงานผลตรวจ
ภายหลังการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเสร็จสิ้น ผลการตรวจจะได้รับการอ่านผลโดยแพทย์ประจำบ้านร่วมกับอาจารย์แพทย์ หลังจากนั้นจึงรายงานผลการตรวจวิเคราะห์และรับรองผลโดยอาจารย์แพทย์ผู้ได้รับมอบหมาย ผ่านระบบสารสนเทศของห้องปฏิบัติการ ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบสารสนเทศของโรงพยาบาลศิริราช
1.1 การรายงานผล online ผ่านระบบสารสนเทศห้องปฏิบัติการ ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถเรียกดูผลได้จากเครื่องคอมพิวเตอร์ ในระบบสารสนเทศของโรงพยาบาลที่หอผู้ป่วย/ห้องตรวจโดยตรงรวมทั้งสามารถสั่งพิมพ์สำเนาใบรายงานผลของผู้ป่วยรายนั้นๆ ได้ตามต้องการ
1.2 รายงานเป็นเอกสารใบรายงานผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งจะถูกส่งมอบให้กับผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับใบรายงานผลนั้น ๆ แบบปกปิด ตามระเบียบปฏิบัติของคณะฯ เกี่ยวกับการรายงานผลโดยคำนึงถึงสิทธิผู้ป่วย
2.1 ให้ผู้ได้รับมอบหมายจากหน่วยงานที่ขอตรวจติดต่อขอรับใบรายงานผล ที่ห้องปฏิบัติการตจวิทยาภูมิคุ้มกัน ภาควิชาตจวิทยา ตึกเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 9 ห้อง 927
2.2 เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการฯ จะตรวจสอบหลักฐานการขอรับใบรายงานผล ดังนี้
- เจ้าหน้าที่หอผู้ป่วย/ห้องตรวจ หรือ รพ.ภายนอก จะต้องแสดงบัตรเจ้าหน้าที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, บัตรประชาชน (หรือบัตรประจำตัวที่หน่วยงานออกให้, ใบขับขี่ หรือพาสปอร์ต) ของผู้มาขอรับใบรายงานผล
- หลักฐานการได้รับมอบให้เป็นผู้รับใบรายงานผล ได้แก่ แบบฟอร์มการรับสิ่งส่งตรวจจากภายนอก ที่ออกให้โดยห้องปฏิบัติการตจวิทยาภูมิคุ้มกัน ภาควิชาตจวิทยา
2.3 เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการฯ ส่งมอบใบรายงานผลแบบปกปิดให้แก่ผู้มาขอรับใบรายงานผล และบันทึกข้อมูลตามวิธีปฏิบัติที่ห้องปฏิบัติการฯกำหนด และให้ผู้มาขอรับใบรายงานผลเขียนชื่อ-สกุล (ตัวบรรจง) ในช่องผู้รับใบรายงานผลในแบบฟอร์มบันทึกการนำส่งสิ่งส่งตรวจและรับใบรายงานผล และในแบบฟอร์มการรับสิ่งส่งตรวจจากภายนอก
ห้องปฏิบัติการตจวิทยาภูมิคุ้มกัน
3.1 ในกรณีระบบสารสนเทศของโรงพยาบาลขัดข้องทำให้ไม่สามารถเรียกดูผลการตรวจวิเคราะห์ผ่านทางระบบสารสนเทศของโรงพยาบาลได้ และ/หรือได้รับการร้องขอจากแพทย์ผู้ดูแลรักษาผู้ป่วย เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าการทราบผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยด่วนมีความจำเป็นต่อการดูแลรักษาผู้ป่วย
3.2 ในกรณีเป็นการขอส่งตรวจจากภายนอกโรงพยาบาลศิริราช และได้รับการร้องขอจากแพทย์ผู้ดูแลรักษาผู้ป่วยซึ่งพิจารณาแล้วเห็นว่าการทราบผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยด่วนมีความจำเป็นต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยทางห้องปฏิบัติการฯ จะทำการบันทึกรายละเอียดของการรายงานผลทางโทรศัพท์ ดังนี้
- ชื่อ-นามสกุล, หมายเลข HN, และหมายเลข Lab No. ของผู้ป่วย
- หอผู้ป่วย/ห้องตรวจ/หน่วยงาน ที่ขอให้รายงานผลทางโทรศัพท์
- ชื่อ-นามสกุลของแพทย์ผู้ขอให้ห้องปฏิบัติการรายงานผลทางโทรศัพท์
- หมายเลขโทรศัพท์ และชื่อ-นามสกุลของแพทย์ หรือพยาบาลผู้รับทราบผลทางโทรศัพท์
- ชื่อการทดสอบที่รายงานผลทางโทรศัพท์
- ผลการทดสอบที่รายงานผลทางโทรศัพท์
- วันที่ และเวลาที่รายงานผลทางโทรศัพท์
- ชื่อผู้ดำเนินการรายงานผลทางโทรศัพท์และจะดำเนินการส่งมอบใบรายงานผลฉบับสมบูรณ์ให้ภายหลัง
เนื่องจากห้องปฏิบัติการตจวิทยาภูมิคุ้มกัน ภาควิชาตจวิทยา ไม่มีการทดสอบใดที่ให้บริการในปัจจุบันที่ผลการตรวจวิเคราะห์ของการทดสอบ นั้น ๆ เป็นค่าวิกฤตที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ซึ่งจำเป็นจะต้องแจ้งแก่แพทย์ หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยทราบทางโทรศัพท์ในทันที ดังนั้นห้องปฏิบัติการตจวิทยาภูมิคุ้มกันจึงไม่มีการรายงานผลทางโทรศัพท์ในกรณีค่าวิกฤต
ในกรณีผู้รับบริการภายนอกโรงพยาบาล มีความประสงค์จะให้ห้องปฏิบัติการฯ ส่งมอบใบรายงานผลทางโทรสาร เนื่องจากมีความจำเป็นเร่งด่วนในการดูแลรักษาผู้ป่วย และ/หรือ มีปัญหาในการเดินทางมารับใบรายงานผล ให้ดำเนินการดังนี้
5.1 ส่งหลักฐานแจ้งความจำนงเบื้องต้นให้ห้องปฏิบัติการทราบและเก็บข้อมูลไว้
5.2 ในแต่ละครั้งที่มีความประสงค์ให้รายงานผลทางโทรสาร ผู้ร้องขอจะต้องกรอกข้อมูลอย่างครบถ้วนในแบบฟอร์มการขอให้ส่งมอบใบรายงานผลทางโทรสาร (ห้องปฏิบัติการจะจัดส่งแบบฟอร์มไปให้ทางโทรสารหลังได้รับแจ้งความประสงค์ในแต่ละครั้ง)
5.3 ผู้ร้องขอส่งแบบฟอร์มฯ ที่กรอกข้อมูลครบถ้วนแล้ว พร้อมสำเนาหลักฐานแสดงตนของผู้ที่จะรับมอบใบรายงานผล (บัตรประชาชน, บัตรประจำตัวที่หน่วยงานออกให้, ใบขับขี่ หรือพาสปอร์ต) ที่ลงนามรับรองสำเนาถูกต้องเรียบร้อยแล้วกลับมายังห้องปฏิบัติการฯทางโทรสาร
5.4 เมื่อห้องปฏิบัติการฯ จัดเตรียมใบรายงานผล และตรวจสอบหลักฐานเรียบร้อยแล้ว จะโทรศัพท์ติดต่อกลับไปอีกครั้งเพื่อยืนยันการขอรับมอบใบรายงานผลทางโทรสารที่ร้องขอและแจ้งกำหนดการส่ง หลังจากนั้นจึงดำเนินการส่งใบรายงานผลทางโทรสารตามวัน-เวลาและวิธีการที่ได้นัดหมายไว้