เมื่อวันที่ 10 ต.ค. เวลา 10.30 น.  ศ.นพ.ประสิทธิ์  วัฒนาภา ผู้อำนวยการ รพ.ศิริราช ได้แถลงข่าว ชี้แจงรายละเอียดถึงสาเหตุการมรณภาพของพระพรหมมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ) ซึ่งมรณภาพเมื่อเวลา 9.00 น. เมื่อวันที่ 10  ต.ค. ด้วยอายุ 96 ปี  ณ ห้องประชุมสื่อมวลชน ตึกอำนวยการ ชั้น 1 รพ. ศิริราช

โดยศ.นพ.ประสิทธิ์  กล่าวว่า พระพรหมมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)  เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชเมื่อวันที่ 1 ต.ค.เวลา 13.30 แพทย์จึงได้รับไว้รักษาที่ตึก 84 ปี ชั้น 5  โดยก่อนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 1 วัน หลวงพ่อมีอาการหน้ามืด วูบ และแน่นหน้าอก ลูกศิษย์จึงนำหลวงพ่อเข้ารับการรักษาใน รพ.ชลประทาน แล้วจึงย้ายมารักษาต่อ ณ รพ.ศิริราช

ทั้งนี้หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เคยมีโรคหลอดเลือดตีบตันอยู่ก่อนแล้ว เคยทำการขยายหลอดเลือก และใส่ใส่ขดลวดขยายหลอดเลือดไว้ (stent) มาก่อนแล้ว  คณะแพทย์ จึงวินิจฉัยว่าน่าจะมีอาการของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เพราะหลอดเลือดหัวใจตีบตันอยู่ก่อน

จึงได้ทำฉีดสี เข้าหลอดเลือดหัวใจ ตรวจสอบการทำงานของหลอดเลือดหัวใจอีกครั้ง พบว่าตีบจริง จึงได้ทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจ และใส่ขดลวดขยายหลอดเลือดไว้ (stent)  ไว้ผลการผ่าตัดเป็นไปด้วยความเรียบร้อยเมื่อวันที่ 5 ต.ค. และอยู่ในความดูแลของหออภิบาลหัวใจ ( CCU)  ตึกอัษฎางค์ ชั้น 3  เป็นเวลา 1 คืน เมื่ออาการเรียบร้อยดี จึงย้ายกลับมาพักที่ตึก 84 ปี 

แต่เมื่อบ่ายวันที่ 6 ต.ค.หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ มีอาการไอ มีเสมหะ มีอาการติดเชื้อ จึงตัดสินใจนำเข้าพักรักษาที่หออภิบาลหัวใจ ( CCU)  ตึกอัษฎางค์ ชั้น 3 อีกครั้ง แพทย์จึงได้เอ๊กซเรย์ปอด 1ครั้งพบว่าปอดมีอาการติดเชื้อ แพทย์ให้ยาปฏิชีวะนะ ขณะเดียวกันแพทย์ยังพบว่าไตของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ มีอาการแย่ลง ซึ่งก่อนหน้าการทำงานของ ไตของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ไม่ปกติ มีการทำงานที่น้อยกว่าปกติอยู่แล้วตั้งแต่เดือนเมษายน 2550 เมื่อครั้งที่มาตรวจอาการที่โรงพยาบาลศิริราช และยังพบว่าน้ำตาลในกระแสเลือด มีภาวะโรคเบาหวานด้วย

เมื่อการทำงานของไตแย่ลง การควบคุมร่างกายต่างๆก็ทำงานแย่ลง สุดท้ายก็เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันขึ้น และหัวใจหยุดเต้นไป 1 ครั้งเมื่อคืนวันที่ 9 ต.ค. และแพทย์ได้ทำการปั้มจนฟื้นขึ้นมาได้ แต่เมื่อเช้าวันที่ 10 ต.ค. การทำงานของหัวใจได้แย่ลงไปอีก  จนกระทั่งมรณภาพไปเมื่อ เวลา 09.00 น.

“สรุปว่าหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุมาโรงพยาบาลด้วยอาการกล้ามเนื้อหัวใจที่ขาดเลือด เนื่องจากเส้นเลือดหัวใจตีบตัน และได้แก้ไขแล้ว แต่มาเกิดการติดเชื้อในปอด และ ไตวายเฉียบพลัน   ซึ่งเป็นอาการที่ทำให้มรณภาพ” ศ.นพ.ประสิทธิ์  กล่าว