หูดหงอนไก่...ไม่ถึงตายแต่ทำลายความมั่นใจ (ตอนที่ 2)
หูดหงอนไก่...ไม่ถึงตายแต่ทำลายความมั่นใจ (ตอนที่ 2)
อ.พญ.เจนจิต ฉายะจินดา
ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา
Faculty of
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ทำไมการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีตามธรรมชาติไม่สามารถก่อให้เกิดภูมิต้านทานของตัวเองได้อย่างเพียงพอ
เนื่องจากไวรัสเอชพีวี ไม่ทำให้เซลล์ตายหรือสลายไป รวมทั้งไม่ทำให้มีการอักเสบ การติดเชื้อมักจำกัดอยู่เฉพาะในชั้นเยื่อบุไม่เข้าสู่กระแสเลือดหรือระบบน้ำเหลือง จึงไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาของร่างกายต่อไวรัสมากพอที่จะเกิดภูมิต้านของตนเอง ในขณะที่การผลิตวัคซีนทำโดยการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสอย่างมากในสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นแล้วเอาเพียงส่วนเล็กๆของไวรัสที่สามารถกระตุ้นภูมิต้านทานแต่ไม่ก่อให้เกิดโรคมาบวกกับสารกระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกาย เมื่อฉีดเข้าร่างกายทำให้ร่างกายมีการตอบสนองอย่างมากและสร้างภูมิต้านทานในระดับที่สูง
การฉีดวัคซีนมีผลข้างเคียงหรือไม่
จากข้อมูลที่มีการใช้วัคซีนชนิด 4สายพันธุ์ ไปทั่วโลก มีการรายงานผลข้างเคียงที่ส่วนใหญ่ไม่รุนแรง เรียงตามลำดับ ดังต่อไปนี้ เป็นลม (8.2 ราย:100,000 เข็ม) บวมแดงที่ตำแหน่งฉีดยา (7.5 ราย: 100,000 เข็ม) เวียนศีรษะ (6.8 ราย:100,000 เข็ม) คลื่นไส้ (5.0 ราย:100,000 เข็ม) ปวดศีรษะ (4.1 ราย:100,000 เข็ม) ปฏิกิริยาไวต่อยา (3.1 ราย:100,000 เข็ม) และผื่นลมพิษ (2.6 ราย:100,000 เข็ม)
จะทำอย่างไรเมื่อคุณตรวจพบว่าคุณติดไวรัสเอชพีวี
ในปัจจุบันการตรวจหาเชื้อไวรัสเอชพีวีทำได้ง่ายโดยใช้อุปกรณ์ชุดเดียวกับการตรวจมะเร็งปากมดลูก การรายงานผลอาจเป็นชนิดความเสี่ยงสูง/ ชนิดความเสี่ยงต่ำ หรือบอกเป็นชนิดสายพันธุ์ของเอชพีวี ผลที่ได้อาจทำให้คุณเกิดความกังวลใจมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อตรวจพบสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง การที่ทราบผลเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้คุณตระหนักและมารับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอเพื่อค้นหารอยโรคให้เร็วที่สุด
อย่างที่ทราบกันว่าหญิงชายวัยเจริญพันธุ์ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้มากถึงร้อยละ 75 และกำจัดออกไปได้เกือบทั้งหมดที่ 2 ปี การมีไวรัสเอชพีวี จะต่างจากการติดเชื้อเอชไอวี หรือ เริม เพราะร่างกายสามารถกำจัดได้เองหากภูมิต้านทานของร่างกายดี
การพูดคุยกับคู่นอนอย่างตรงไปตรงมาน่าจะมีประโยชน์ เพราะเขาหรือเธอคนนั้นน่าจะได้รับเชื้อไปแล้วถึงแม้ว่ายังไม่แสดงอาการใดๆ การมีไวรัสเอชพีวีไม่ได้หมายความว่าว่าคู่นอนคนใดคนหนึ่งมีการนอกใจกัน เป็นการยากที่จะบอกว่าคุณได้รับเชื้อมาจากใครหรือเมื่อไหร่ เพราะไวรัสชนิดนี้สามารถติดได้จากการสัมผัส ยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้ยังไม่มีการตรวจไวรัสเอชพีวีในผู้ชายที่น่าเชื่อถือ จึงมักตรวจไม่พบไวรัสในผู้ชายแต่เขายังคงสามารถถ่ายทอดเชื้อได้
เมื่อคุณทราบว่าคู่นอนของคุณมีหูดหงอนไก่
ไม่ต้องวิตกกังวลจนเกินเหตุ เพราะหูดหงอนไก่เป็นโรคที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต แค่ทำให้รู้สึกสูญเสียความมั่นใจเท่านั้น คุณและคู่นอนสามารถดำเนินชีวิตทุกอย่างได้ตามปกติ คุณควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในขณะที่คู่นอนของคุณมีรอยโรคหูดหงอนไก่อยู่ จนกว่าคู่นอนจะได้รับการรักษา หูดหงอนไก่เป็นภาวะที่สามารถรักษาได้ แต่ยังคงสามารถถ่ายทอดเชื้อไปให้คู่นอนแม้ไม่มีอาการ คุณควรหมั่นตรวจที่อวัยวะเพศของคุณเพื่อหารอยโรค หรืออาจไปพบแพทย์เพื่อให้ตรวจหาหูดหงอนไก่และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น
หูดหงอนไก่ที่ทางเดินหายใจ
หูดหงอนไก่ที่ทางเดินหายใจ (Recurrent Respiratory Papillomatosis; RRP) เป็นภาวะที่พบได้ไม่บ่อย แต่หากเกิดขึ้นแล้วจะทำให้เกิดความทุกข์ทรมานต่อทั้งครอบครัวของผู้ป่วย ทั้งเรื่องการรักษาที่เรื้อรังและค่าใช้จ่ายมหาศาลที่เกิดขึ้น สาเหตุเกิดจากฮิวแมนแปปิโลมาไวรัส (เอชพีวี) สายพันธุ์ 6 และ 11 เหมือนกับสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ พบได้ประมาณ 1-4 ต่อประชากร 100,000 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ตามอายุของผู้ป่วย ได้แก่ กลุ่มเด็ก (อายุน้อยกว่า 12 ปี) และกลุ่มผู้ใหญ่
หูดหงอนไก่ที่ทางเดินหายใจ
ทางเดินหายใจปกติหมายถึงตั้งแต่โพรงจมูกลงไปถึงถุงลมในปอด หูดหงอนไก่ที่ทางเดินหายใจมักพบที่กล่องเสียงมากที่สุด ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเสียงแหบ หรืออุดกั้นทางเดินหายใจจนเสียชีวิตได้
ใครบ้างที่เสี่ยงต่อภาวะนี้
ช่วงอายุที่พบมากที่สุด ได้แก่ อายุ 2 4 ปี และ 20 40 ปี โดยในเด็กมักเกิดจากการติดเชื้อจากแม่ในระหว่างการคลอด ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นในแม่ที่ตั้งครรภ์แรก อยู่ในช่วงวัยรุ่น คลอดทางช่องคลอด และมารดาเพิ่งมีรอยโรคขึ้นมาใหม่ สำหรับในผู้ใหญ่พบว่ามีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องปาก
มีอาการเป็นอย่างไร
อาการที่พบมากที่สุดคือ เสียงแหบ โดยจะมีแหบมากขึ้นเรื่อยๆ อาจมีการหายใจติดขัด มีการไอเรื้อรัง รู้สึกเหมือนทางเดินหายใจอุดกั้นเป็นช่วงๆ เป็นปอดบวมบ่อย สำหรับในเด็กอาจมีอาการกลืนลำบากจนไม่โตตามเกณฑ์
ภาวะดังกล่าว หากปล่อยทิ้งไว้ ส่วนหนึ่งสามารถหายเองได้ ส่วนหนึ่งเป็นเท่าเดิม บางคนอาจมีก้อนโตขึ้น โดยพบว่าร้อยละ 2 3 ของผู้ป่วยจะกลายเป็นมะเร็ง โดยในกลุ่มที่เป็นมะเร็งนั้นมักพบปัจจัยเสริมอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ สูบบุหรี่ เคยฉายแสงที่บริเวณคอ ตรวจพบว่ามีการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์ 16 ด้วย
จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นภาวะนี้
ผู้ป่วยมีอาการและมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนี้ แพทย์จะทำการส่องกล้องลงไปดูในคอหอยเพื่อหารอยโรค โดยขั้นตอนนี้ต้องใช้ยาระงับการต่อต้านตามธรรมชาติของร่างกาย ในบางกรณีอาจถึงขั้นต้องให้ยาสลบ ลักษณะของรอยโรคจะเห็นเป็นตามรูป
มีการรักษาแบบใดบ้าง
ส่วนใหญ่ผู้ที่มีอาการมักลงเอยด้วยการผ่าตัดเพื่อลดขนาดของก้อน เพื่อช่วยเรื่องทางเดินหายใจ ลดอาการเสียงแหบ การตัดออกทำได้หลายวิธี เช่น การใช้เลเซอร์ การใช้มีด หรือการใช้จี้พิเศษที่มีขนาดเล็กและสามารถใส่เข้าไปในทางเดินหายใจได้ การผ่าตัดแบบนี้ทำได้ยากมากตั้งแต่ขั้นตอนการดมยาสลบ ผู้ป่วยอาจขาดอากาศหายใจเป็นบางช่วงได้ นอกจากนี้ธรรมชาติของรอยโรคนี้ มักกระจายไปทั่ว ทำให้ไม่สามารถกำจัดทั้งหมดได้ในครั้งเดียว
ในเด็กที่มีอาการมักจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเฉลี่ย 4.4 ครั้งต่อปี รวมประมาณ 19.7ครั้งในช่วงชีวิต ในขณะที่ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคนี้มากกว่าครึ่งได้รับการผ่าตัดมากกว่า 5 ครั้งในช่วงชีวิต ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดที่พบได้บ่อยคือแผลเป็น เป็นผลให้หลอดลมตีบและหายใจลำบากในระยะยาว
ดังนั้น จึงมีผู้พยายามคิดค้นยาเพื่อควบคุมอาการในระยะยาว โดยข้อบ่งชี้ของการให้ยาหลังการผ่าตัด ได้แก่ ได้รับการผ่าตัดมากกว่า 4 ครั้งใน 1 ปี รอยโรคกระจายลงไปไกลมากจนไม่สามารถผ่าตัดลงไปถึง และก้อนโตเร็วมากหลังการผ่าตัด ซึ่งยาแต่ละตัวที่ใช้ก็มีผลข้างเคียงและราคาที่ค่อนข้างสูง
โรคนี้สามารถป้องกันได้หรือไม่
วัคซีนไวรัสเอชพีวีชนิด 4 สายพันธุ์ น่าจะเป็นวิธีการป้องกันที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด เพราะป็นการลดปริมาณไวรัสเอชพีวีในประชากรทั้งหมด ทำให้การถ่ายทอดเชื้อจากมารดาสู่ทารก หรือระหว่างคู่สามีภรรยาที่มีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปาก สำหรับการผ่าตัดคลอดบุตรไม่ลดการเกิดหูดหงอนไก่ที่ทางเดินหายใจในทารกจึงไม่แนะนำให้ทำเพราะเหตุผลนี้
หูดหงอนไก่ในผู้ชาย
หูดหงอนไก่ในผู้ชายพบน้อยกว่าผู้หญิงมากเนื่องจากลักษณะผิวหนังที่อวัยวะเพศที่ไม่มีซอกหลืบหรือความชุ่มชื้นมากเท่าของผู้หญิง โดยตำแหน่งที่พบมากที่สุดคือ บริเวณรอยต่อระหว่างส่วนหัวและส่วนตัวขององคชาต ผู้ชายร้อยละ 1-73 ได้รับเชื้อไวรัสเอชพีวีมาแล้วและสามารถถ่ายทอดต่อไปให้คู่นอนได้ ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ได้แก่ จำนวนคู่นอน พฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ (ชายรักชาย) การใช้ถุงยางอนามัย เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ และการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ ผู้ที่ยังไม่ขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศจะมีการกำจัดเชื้อไวรัสเอชพีวีได้ช้ากว่า
ในกลุ่มชายรักชาย จะพบมีหูดหงอนไก่รอบทวารหนักหรือในทวารหนักได้มากขึ้นกว่าคนทั่วไป ซึ่งการรักษาในตำแหน่งดังกล่าวทำได้ยากมาก เพราะไม่ว่าจะใช้ยาหรือการผ่าตัด หูดหงอนไก่ก็มักเกิดซ้ำได้บ่อย การรักษาหลายครั้งจะทำให้เกิดทวารหนักตีบและมีปัญหาในการขับถ่ายตามมาได้ ก้อนที่อยู่ลึกเข้าไปในทวารหนักอาจโตมากจนทำให้ท้องผูก บางครั้งมีเลือดออกหรือบิดขั้วจนต้องผ่าตัดฉุกเฉิน ต้องดมยาสลบเป็นเรื่องราวใหญ่โต นอกจากนี้มักพบการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์ 16 ร่วมด้วยได้บ่อย ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งทวารหนักได้
บทส่งท้าย
หูดหงอนไก่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นเชื้อที่ติดต่อได้ง่ายและไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสนี้ไปจากร่างกายได้หมดสิ้น การรักษาทำได้ไม่ยากแต่มักไม่หายขาดและกลับซ้ำได้บ่อย ปัจจุบันมีวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพดี ตั้งแต่ยังไม่เคยรับเชื้อมาก่อนโดยการฉีดวัคซีนไวรัสเอชพีวีชนิด 4 สายพันธุ์