โรคเริม (Herpes simplex)

โรคเริม (Herpes simplex)

อ. พญ.จรัสศรี ฬียาพรรณ

รศ. พญ. วรัญญา บุญชัย

ผศ. ดร. นพ. สุขุม เจียมตน

ภาควิชาตจวิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

โรคเริมคืออะไร ?

     คือโรคติดเชื้อจากไวรัสที่มีชื่อว่า Herpes simplex virus การได้รับเชื้อไวรัสครั้งแรก เกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับผู้ที่เป็นโรคซึ่งอาจแสดงอาการหรือไม่ก็ได้ เชื้อไวรัสจะเข้าสู่ผิวหนังทำให้เกิดเป็นโรคเริมครั้งแรก  หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะเข้าสะสมในปมเส้นประสาท และเมื่อมีปัจจัยกระตุ้น เชื้อจะเคลื่อนจากปมประสาทมาตามเส้นประสาทจนถึงปลายประสาทและเกิดโรคซ้ำที่ผิวหนังหรือเยื่อบุ การเกิดโรคพบได้ในหลายตำแหน่ง เช่น ที่ริมฝีปากหรือบริเวณอวัยวะเพศ

 

อาการของโรคเริมเป็นอย่างไร ?

โรคเริมที่เป็นครั้งแรก จะมีระยะฟักตัวประมาณ 3-7 วันหลังได้รับเชื้อ ส่วนมากผู้ป่วยมักไม่มีอาการ แต่ถ้ามี อาการจะรุนแรง พบเป็นกลุ่มของตุ่มน้ำ แตกเป็นแผลตื้นๆ มักมีอาการเจ็บ ปวดแสบร้อน แผลจะค่อยๆแห้งตกสะเก็ดและหายในระยะเวลาประมาณ 2-6 สัปดาห์ อาจมีอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หรือต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วยได้

เริมสามารถเป็นซ้ำได้ โดยอาการจะน้อยกว่า ตุ่มน้ำจะมีขนาดเล็กกว่า จำนวนตุ่มน้ำน้อยกว่าการเป็นครั้งแรก ผู้ป่วยอาจมีอาการนำ เช่น อาการคัน แสบร้อนบริเวณที่จะเป็น ต่อมาจะมีกลุ่มของตุ่มน้ำเกิดขึ้น ในตำแหน่งใกล้เคียงกับตำแหน่งเดิม การเป็นซ้ำมักไม่มีอาการอื่นๆ เช่น ไข้ร่วมด้วย

 

ปัจจัยใดสามารถกระตุ้นทำให้เริมเกิดเป็นซ้ำ

- ความเครียด

            - แสงแดดที่มาก

            - รอยถลอกขีดข่วน

            - การเจ็บป่วยจากโรคอื่น

            - การได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น สเตียรอยด์
          -
การผ่าตัดที่กระทบกระเทือนต่อเส้นประสาท

 

การรักษาและการปฏิบัติตัวผู้ป่วยโรคเริม

            - โรคส่วนใหญ่ อาการไม่รุนแรง และหายเองได้ โดยเฉพาะเริมที่กลับเป็นซ้ำ
            - ผู้ป่วยควรพักผ่อนและดื่มน้ำมาก ๆ
            - ถ้ามีไข้สูง ควรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อย ๆ และรับประทานยาพาราเซตามอลบรรเทาไข้
            - ใช้น้ำเกลือกลั้วปากถ้ามีแผลในปาก
            - ตัดเล็บสั้น ไม่แกะเกา และอาบน้ำฟอกสบู่ให้สะอาด  เพื่อป้องกันมิให้ตุ่มกลายเป็นหนองและแผลเป็น
            - ใช้ผ้ากิอซชุบน้ำเกลือหรือน้ำต้มสุกประคบทำความสะอาดแผล
            - ยาต้านไวรัสเช่น
acyclovir ไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสที่แฝงตัวอยู่ในปมประสาทได้
            - การรับประทานยาต้านไวรัสเร็วภายใน 48 ชั่วโมงหลังมีอาการนำ จะสามารถลดระยะเวลาการเกิดโรค ลดการแพร่เชื้อ และลดระยะเวลาเจ็บปวดได้ แต่เนื่องจากยามีผลข้างเคียงต่อไต รวมถึงต้องมีการปรับขนาดยาในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่อง ผู้ป่วยควรมาพบแพทย์เมื่อเริ่มมีอาการเพื่อพิจารณาเรื่องยาต้านไวรัส
            - การทายาต้านไวรัสมีประโยชน์น้อยโดยเฉพาะรอยโรคที่อวัยวะเพศ และอาจทำให้เกิดเชื้อดื้อยาได้


การป้องกันเริมกลับเป็นซ้ำ

            - ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เริมเกิดเป็นซ้ำ
            - ถ้าเริมเป็นซ้ำบ่อยมากกว่า 6 ครั้งต่อปีหรือเริมที่เป็นซ้ำอาการรุนแรง หรือ การเป็นซ้ำมีผลลดคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการรับประทานยาต้านไวรัสทุกวันเพื่อป้องกันเริมกลับเป็นซ้ำ

 

การป้องกันการแพร่เชื้อของโรคเริม

            - ระยะแพร่เชื้อติดต่อให้ผู้อื่นคือ ตั้งแต่ เริ่มมีอาการนำจนกระทั่งแผลหายตกสะเก็ด
            - หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล น้ำลาย สารคัดหลั่งของผู้ป่วย
            - ผู้ป่วยที่มีรอยโรคที่อวัยวะเพศ สามารถแพร่เชื้อให้คู่นอนได้ จึงควรงดการทีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่เริ่มมีอาการนำจนกว่าแผลจะหายสนิท
            - เนื่องจากโรคเริมสามารถแพร่เชื้อสู่คู่นอนได้แม้ผู้ป่วยไม่มีอาการจึงแนะนำให้ใช้ถุงยางทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
            - การรับประทานยาต้านไวรัสทุกวันสามารถลดการแพร่เชื้อได้ แต่เนื่องจากยามีผลข้างเคียง จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานยา

เอกสารประกอบ

ดาวน์โหลด