โรคตุ่มน้ำพองจากภูมิคุ้มกัน

ศ.พญ.กนกวลัย กุลทนันทน์
รศ.พญ.ปภาพิต ตู้จินดา
รศ.พญ.ลีนา จุฬาโรจน์มนตรี
ภาควิชาตจวิทยา

Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

        เป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ เกิดการสร้างสารโปรตีนกลุ่มอิมมูโนโกลบูลินไปทำลายการยึดเกาะกันของเซลล์ผิวหนัง จึงเกิดการแยกตัวของผิวหนัง ในชั้นหนังกำพร้า หรือบริเวณรอยต่อระหว่างหนังกำพร้าและหนังแท้  ทำให้เกิดตุ่มน้ำพองขึ้นที่ผิวหนังหรือเยื่อบุต่าง ๆ เช่น ในปาก เป็นต้น ตัวอย่างของโรคเหล่านี้ คือ โรคเพ็มฟิกัส (Pemphigus) เพ็มฟิกอยด์ (Bullous pemphigoid)

อาการและอาการแสดง
           โรคกลุ่มนี้บางชนิดพบในวัยเด็ก บางชนิดพบในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ พบได้ทั้งเพศหญิงและชาย อาการคือ  มีตุ่มน้ำพองขนาดต่าง ๆ เกิดขึ้นที่ผิวหนัง บางรายอาจเกิดที่เยื่อบุต่าง ๆ ร่วมด้วย เมื่อตุ่มน้ำแตกจะเกิดแผล หรือรอยถลอก ทำให้มีอาการเจ็บ ถ้าเกิดตุ่มน้ำพองหรือแผลในปากจะทำให้เจ็บแสบ กลืนอาหารไม่สะดวก บางรายผิวหนังที่ถลอกหรือเป็นแผล อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียเป็นหนอง ถ้าเป็นรุนแรง เชื้อโรคอาจเข้าสู่กระแสเลือดทำให้มีไข้ หรืออาการอื่น ๆ ได้

สาเหตุ
           เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ร่วมกับมีปัจจัยทางพันธุกรรมหรือสิ่งแวดล้อมอื่น เช่น เชื้อโรคหรือสารเคมีเป็นปัจจัยกระตุ้น อย่างไรก็ตามโรคตุ่มน้ำพองจากภูมิคุ้มกันไม่ใช่โรคติดต่อ

การรักษา
           โรคตุ่มน้ำพองชนิดเพ็มฟิกัสและเพ็มฟิกอยด์ มียาหลักที่ใช้รักษา คือ ยาเพรดนิโซโลน (prednisolone) ซึ่งจะเริ่มยาด้วยขนาดสูงก่อน เมื่อควบคุมโรคได้แล้วจึงค่อยลดยาลง การปรับขนาดยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
          ถ้าผู้ป่วยเกิดอาการข้างเคียงระหว่างรับประทานยา ต้องรีบปรึกษากับแพทย์ผู้ดูแลเพื่อพิจารณาปรับขนาดยา หรือเปลี่ยนไปใช้ยากลุ่มอื่น ซึ่งยากลุ่มอื่น ๆ ที่ใช้ ได้แก่ dapsone ยากดภูมิคุ้มกัน (cytotoxic drugs) 
          ระยะเวลาที่จะสามารถคุมโรคได้อาจใช้เวลาเป็นเดือน เมื่อควบคุมโรคได้ผู้ป่วยอาจต้องกินยาต่อไปอีกระยะหนึ่ง แพทย์จำเป็นผู้แนะนำว่าเมื่อใดควรลดหรือหยุดยา การหยุดยาอย่างกะทันหันอาจทำให้โรคกำเริบได้ 

การปฏิบัติตัวของผู้ป่วย
           โรคในกลุ่มนี้มีความรุนแรงต่างกัน โรคกลุ่มนี้เป็นโรคเรื้อรังอาการของโรคอาจกำเริบและสงบสลับกันไป ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรมารับการตรวจรักษาโดยสม่ำเสมอและรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งโดยเคร่งครัด

เนื่องจากผู้ป่วยมักจะได้รับยาที่กดระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรปฏิบัติตัว ดังนี้
            - หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคติดเชื้อ ไม่ไปสถานที่แออัด เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
            - ถ้ามีอาการที่บ่งถึงการติดเชื้อ เช่น ไข้สูง ไอ ปัสสาวะแสบขัด ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
            - ไม่รับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ หรือไม่สะอาด
            - ถ้าโรคยังไม่สงบ ไม่ควรตั้งครรภ์ เนื่องจากยาที่รับประทานเพื่อควบคุมโรคอาจมีผลต่อทารกในครรภ์ ถึงแม้ว่าโรคสงบแล้ว ถ้าจะตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ เพราะแพทย์อาจจะยังให้ยาบางชนิดเพื่อควบคุมโรคไม่ให้กำเริบ ซึ่งอาจมีผลต่อทารกในครรภ์ได้เช่นกัน
            - ผู้ป่วยที่ได้รับยาเพรดนิโซโลน ถ้ามีอาการปวดท้อง อุจจาระดำ หรืออาเจียนเป็นเลือด ควรรีบพบแพทย์
            - ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
            - ดื่มนมสด หรือ รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุนจากยา

ผู้ป่วยที่มีตุ่มน้ำแตกเป็นแผลในปากควรปฏิบัติ ดังนี้
           - ใช้น้ำเกลือ (Normal saline) อมกลั้ว บ้วนปากบ่อย ๆ หรือทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาบ้วนปากหรือยาฆ่าเชื้อในช่องปากที่เข้มข้น
            - หลีกเลี่ยงการแปรงฟันแรง ๆ เนื่องจากจะทำให้แผลถลอกมากขึ้น
            - หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด โดยเฉพาะอาหารเผ็ดหรือเปรี้ยว จะทำให้แสบหรือเจ็บแผลมากขึ้น

สำหรับผื่นที่ผิวหนัง ควรปฏิบัติ ดังนี้
            - หลีกเลี่ยง การประคบหรือพอกแผลด้วยสมุนไพร หรือยาใด ที่แพทย์ไม่ได้เป็นผู้สั่ง
            - ถ้าต้องการทำความสะอาดแผล ควรใช้น้ำเกลือ (Normal saline) เช็ดเบา ๆ อาจใช้ยาทา เช่น ยาครีมฆ่าเชื้อ ไม่ควรเปิดแผลบ่อย ๆ เพราะจะทำให้ผิวหนังหลุดถลอก


เอกสารประกอบ

ดาวน์โหลด