หืด - โรคทรมาน ตอนที่2

หืด - โรคทรมาน (ตอนที่2)

ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

หลักในการรักษาโรคหืด
            1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ  เมื่อสังเกตว่าสารก่อภูมิแพ้หรือสิ่งกระตุ้นใดทำให้เกิดอาการหอบควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งนั้น  การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังโดยวิธีสะกิด(skin prick test)  อาจช่วยบอกชนิดของสารก่อภูมิแพ้ที่กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีอาการได้ 
            2. การรักษาด้วยยา  ยาที่ใช้ในการรักษาโรคหืด  ปัจจุบันแบ่งเป็น  2  ประเภท 
            1. ประเภทที่ช่วยบรรเทาอาการ  ได้แก่  ยาขยายหลอดลม  มีทั้งชนิดพ่นสูด  ชนิดกินและฉีด  ใช้เพื่อขยายหลอดลมในช่วงที่มีอาการหอบหืดเนื่องจากหลอดลมตีบแคบ 
            2. ประเภทที่ใช้ป้องกัน  เป็นยาที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ  ใช้เพื่อลดการอักเสบของหลอดลมและป้องกันไม่ให้เกิดอาการหอบขึ้นอีก   ยาประเภทนี้ต้องใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานตามความรุนแรงของโรค  ภายใต้คำแนะนำของแพทย์  ยาประเภทนี้แบ่งเป็น  2  กลุ่มด้วยกัน  คือ

ก. ยาป้องกันที่มิใช่สเตียรอยด์  มีทั้งในรูปยาพ่นและยากิน  ได้แก่
       
- Cromolyn sodium  มีทั้งในรูปยาพ่นสูดและยาพ่นผ่านเครื่องพ่นฝอยละออง  มักใช้ในเด็ก  ผลข้างเคียงน้อย  ราคาค่อนข้างสูง  และต้องใช้วันละหลายครั้ง
           - Theophylline เป็นยากิน อาจมีผลข้างเคียง เช่น ใจสั่น คลื่นไส้ อาเจียนได้ ต้องระวังในการใช้ร่วมกับยาอื่น เนื่องจากมีผลต่อการขับยาบางชนิดออกจากร่างกายได้  มีข้อดีคือ ราคาไม่แพง
           ยาขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์ยาว(Long acting
β2- agonist) มีทั้งในรูปยากิน และยาพ่น  แต่นิยมใช้ในรูปยาพ่นมากกว่า โดยใช้ร่วมกับยาป้องกันชนิดสเตียรอยด์
           - Leukotriene receptor antagonist เช่น Montelukast  เป็นยากิน  ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่  ผลข้างเคียงน้อย  แต่ราคาค่อนข้างสูง
ข. ยาป้องกันชนิดสเตียรอยด์  มีทั้งยาพ่นสูด  ยากินและฉีด  ยากินและยาฉีดออกฤทธิ์ได้ดี  แต่มีผลข้างเคียงสูง  เช่น  อาจยับยั้งการเจริญเติบโตของเด็ก  ความดันโลหิตสูงขึ้น  น้ำตาลในเลือดสูง  หรือเกิดกระดูกผุได้  จึงมักใช้ในระยะสั้นเพื่อลดการอักเสบของหลอดลมในช่วงมีอาการมาก  ส่วนการใช้เพื่อเป็นยาป้องกันซึ่งต้องใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน  นิยมใช้ในรูปแบบของยาพ่นสูดมากกว่า  เนื่องจากมีผลข้างเคียงน้อยกว่า

รูปแบบของยาพ่นสูด  ที่ใช้โดยทั่วไป  มี  2  รูปแบบ
           1. ยาพ่นสูดชนิดที่ใช้ก๊าซ  (Metered-dose inhaler, MDI)  (รูปประกอบ) 
เป็นชนิดที่นิยมใช้กันมานานตั้งแต่เริ่มต้น  ตัวขับเคลื่อนในยาพ่นสูดชนิดนี้อย่างแรกเป็นสาร  Chlorofluorocarbon  (CFC)  ในระยะหลังพบว่าอาจมีอันตราย  เนื่องจากสามารถทำลายชั้นโอโซนในบรรยากาศโลก   ทำให้รังสีอุลตร้าไวโอเลตบีส่องกระทบผิวโลกได้มากขึ้น จึงอาจทำให้มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชากรโลก  เช่น  เกิดมะเร็งผิวหนัง  ต้อกระจก  เป็นต้น  และมีผลกระทบต่อพืชและสัตว์ชนิดอื่นได้ด้วย  ทั่วโลกจึงมีการรณรงค์เพื่อให้เลิกการใช้สาร  CFC  ทั้งหมดรวมทั้งที่ใช้เป็นตัวขับเคลื่อนในยาพ่น MDI  โดยมีการผลิตยาพ่นสูดที่ใช้ก๊าซชนิดอื่นที่ไม่ใช่  CFC  ขึ้นมาใช้แทน  โดยในประเทศไทยคณะกรรมการอาหารและยา  กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายจะเลิกสั่งยาพ่นสูดที่มีสาร  CFC  เข้าในประเทศ  ภายในเร็วๆ นี้ 
ยาพ่น  MDI อาจใช้ร่วมกับอุปกรณ์อื่นในเด็กเล็ก (กระบอกพ่นยา & หน้ากาก) การพ่นเข้าปากต้องอาศัยวิธีการที่ยุ่งยากกว่ายาสูดหรือยาพ่นผ่านเครื่องพ่นฝอยละออง แต่มีข้อดีคือ ราคาไม่สูง 
           2. ยาสูดแบบผง  (Dry powder inhaler)  (รูปประกอบ)
ใช้ง่ายและสะดวก  ไม่ต้องใช้ร่วมกับอุปกรณ์อื่น  แต่ราคามักสูงกว่ายาพ่นสูดชนิดแรก

           หากผู้ป่วยโรคหืดที่มีสาเหตุจากภูมิแพ้ยังมีอาการต่อเนื่องโดยที่หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และสิ่งกระตุ้น  ดูแลสุขภาพทั่วไปอย่างดีและใช้ยาเต็มที่แล้วยังควบคุมอาการไม่ได้  อาจพิจารณาฉีดวัคซีนภูมิแพ้ร่วมด้วยได้    
           โดยสรุป  โรคหืดเป็นโรคที่พบได้บ่อยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในประเทศไทย  และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต  โรคหืดเป็นโรคที่ผู้ป่วยต้องทุกข์ทรมานและมีคุณภาพชีวิตแย่ลง  หากมีอาการรุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้  ผู้ป่วยควรรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ  ไม่ควรซื้อหรือปรับขนาดยาเอง  และต้องมาพบแพทย์ตามนัด  เพื่อประเมินผลการรักษาและปรับขนาดยาให้เหมาะสม  ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยโรคหืดสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ  และมีคุณภาพชีวิตที่ดีเช่นเดียวกับคนทั่วไป

 

 

 

 

เอกสารประกอบ

ดาวน์โหลด