รู้จัก..กลูตาไธโอน
รู้จัก..กลูตาไธโอน
ศ.นพ.วรพงษ์ มนัสเกียรติ
ภาควิชาตจวิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
กลูตาไธโอน เป็นอาหารเสริมที่เข้ามามีบทบาทเรื่องความสวยความงามของหนุ่มสาวกันมากขึ้น และน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จักประโยชน์และอันตรายที่แท้จริง
กลูตาไธโอน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เซลล์ในร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ในการปกป้องเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วย
ในทางการแพทย์มีการนำกลูตาไธโอนมาทดลองใช้ในการรักษาโรคต่างๆ เช่น รักษาอาการของโรคตับ เพื่อช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย โดยฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำหรือเข้าที่กล้ามเนื้อ หากแต่ผลค้างเคียงที่ได้รับ ผู้ป่วยมีสีผิวที่ขาวขึ้น เนื่องจากกลูต้าไธโอนสามารถเปลี่ยนแปลงชนิดของเม็ดสีผิวที่เป็นสีน้ำตาลให้เป็นเม็ดสีที่เป็นสีเหลืองทำให้สีผิวโดยรวมดูขาวขึ้น
เหตุนี้จึงมีผู้นำผลข้างเคียงของยามาใช้เพื่อทำให้ผิวขาวขึ้น ซึ่งเป็นการนำมาใช้ในทางที่ผิด และยังไม่มีการรับรองจากทางอย. คงมีแต่แบบรับประทานเท่านั้นที่ อย.ให้การรับรอง ซึ่งอยู่ในรูปของยาเม็ดหรือผงละลายน้ำ อย่างไรก็ดี เมื่อรับประทานเข้าไป กลูตาไธโอนถูกดูดซึมเข้าทางเดินอาหารน้อยมาก จึงแทบไม่เห็นประโยชน์จากการรับประทานเลย
ที่ผ่านมาเราพบว่า มีผู้พยายามนำกลูตาไธโอนในรูปแบบยาฉีดมาใช้แทนการรับประทานกันมากขึ้น เนื่องจากเชื่อว่ากลูตาไธโอนชนิดฉีดนั้นมีประสิทธิภาพในการทำให้ผิวขาวได้ดีกว่าและเห็นผลเร็วกว่าชนิดรับประทาน
สำคัญอยู่ที่ ความปลอดภัย ในการฉีดกลูตาไธโอนโดยเฉพาะเข้าหลอดเลือดดำ จำเป็นต้องกระทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการให้ยา เช่น การมองเห็นผิดปกติซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีที่จอประสาทตา การฉีดยาในอัตราที่เร็วเกินไป การติดเชื้อในกระแสเลือดจากเครื่องมือที่ไม่สะอาด เกิดอาการช็อค ความดันโลหิตต่ำ การแพ้อย่างรุนแรง กล้ามเนื้อสั่น ประสาทหลอน หายใจติดขัด หลอดลมตีบ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ซึ่งผิวที่ขาวขึ้นจากกลูตาไธโอนนั้น เป็นผลข้างเคียงของยาที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น หากต้องการให้ผลคงอยู่ไปตลอด จำเป็นต้องได้รับการฉีดซ้ำเป็นระยะๆ ทำให้มีการสะสมยาในร่างกายมากขึ้น และอาจก่อให้เกิดอันตรายในระยะยาวได้ ลองคิดนะครับว่าคุ้มกันมั้ย