การทำแมมโมแกรม ช่วยหญิงไทยจากมะเร็งเต้านม

การทำแมมโมแกรม ช่วยหญิงไทยจากมะเร็งเต้านม

 

 

นพ.ธรรมนิตย์  อังศุสิงห์

 ศูนย์ถันยรักษ์
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

 

            เมื่อเร็วๆ นี้  มีการเผยแพร่ในสื่อ online ว่า “...การทำแมมโมแกรมเพื่อค้นหามะเร็งเต้านม   ไม่มีประโยชน์  เมืองนอกเขาเลิกใช้กันแล้ว  ยิ่งกว่านั้นเครื่องยังกดเต้านมและใช้รังสีทำให้เกิดเป็นมะเร็งอีกด้วย”   

            สำหรับการทำแมมโมแกรม มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รวมทั้งผลการวิจัยของสถาบันที่มีชื่อเสียงหลายแห่งทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปชี้ชัดว่า สามารถช่วยชีวิตผู้หญิงได้  และอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมได้ลดลงมาอย่างต่อเนื่อง  เมื่อเทียบกับเมื่อ  50  ปี ที่ยังไม่มีการทำ  จะพบว่าอัตราการเสียชีวิตสูงมาตลอด และมีแนวโน้มที่สูงขึ้น

กล่าวได้ว่าผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมได้รับการช่วยเหลือให้รอดชีวิตได้นั้น   เป็นผลมาจากการทำแมมโมแกรมเป็นประจำมากกว่า  30 %  หรือประมาณ 15,000 – 20,000  คนต่อปี  และผู้ที่เคยเป็นมะเร็งได้รับการรักษา และใช้ชีวิตเป็นปกติดีในสหรัฐอเมริกามีกว่า 2.6 ล้านคน

            สำหรับประเทศไทย อัตราการเป็นมะเร็งเต้านมสูงขึ้นทุกปี และเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในหญิงไทย ซึ่งทางศูนย์ถันยรักษ์ได้รณรงค์เผยแพร่ความรู้แก่หญิงไทยให้รู้จักเฝ้าระวังตนเอง  ด้วยแผนดูแลสุขภาพเต้านม 3 ขั้นตอน คือ

1.      ตรวจเต้านมด้วยตนเองเมื่ออายุ 20 ปี ขึ้นไป และตรวจเป็นประจำทุกเดือนด้วยวิธี Triple Touch  

2.      ให้แพทย์ตรวจเมื่อมาตรวจร่างกายประจำปี

3.      ทำแมมโมแกรม (Screening Mammogram) เป็นพื้นฐาน เมื่ออายุ 35 ปี

เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการพิสูจน์ชี้ชัดว่า อะไรคือสาเหตุที่แท้จริง ดังนั้น  การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การค้นพบให้เร็วที่สุด จะช่วยรักษาชีวิตผู้ป่วยได้  จริงอยู่ที่ปัจจุบันการรักษาผู้ป่วยหลังผ่าตัดเต้านมด้วยการใช้เคมีบำบัดหรือฉายรังสีได้พัฒนาก้าวหน้ามาก และมีประสิทธิผลสูง แต่การรักษาจะช่วยชีวิตได้ดียิ่งขึ้น ถ้าพบมะเร็งในระยะแรกและทำการรักษาตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งหากไม่มีการทำแมมโมแกรมก็คงเป็นไปได้ยาก

 

ส่วนการกดและการใช้รังสี ทำให้เป็นมะเร็งเต้านมจริงหรือ ...

          การทำแมมโมแกรมนั้น จำเป็นต้องกดเต้านม เพื่อให้เนื้อเยื่อกระจายให้รังสีผ่าน  จะได้เห็นสิ่งผิดปกติใน   เนื้อเต้านมชัดเจน และรังสีที่ผู้มาตรวจได้รับก็น้อยมากรวมถึงการกดนั้นไม่ได้เจ็บมากเหมือนเมื่อ  30  ปีที่แล้ว  จากสถิติผู้มาตรวจแมมโมแกรม 60,000 ราย ที่ศูนย์ถันยรักษ์  พบว่า 98% เจ็บ แต่ทนได้  ส่วนปริมาณรังสีที่ใช้ น้อยเพียง 1.44 mSv ต่อครั้ง (ถ่ายข้างละ 2 ภาพ)   เมื่อเทียบกับ International Atomic Energy Agency (IAEA) ที่กำหนดปริมาณรังสีสำหรับแพทย์ นักรังสีการแพทย์ที่ทำงานเกี่ยวข้อง ต้องได้รับรังสีไม่เกินกว่า 20 mSv ต่อปี

            ณ วันนี้ ในสหรัฐอเมริกาและในยุโรปยังมีการทำแมมโมแกรมแพร่หลาย และถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการค้นพบมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรก  ที่ศูนย์ถันยรักษก็เช่นกัน ให้บริการตรวจวินิจฉัยโรคเต้านมครบวงจร ไม่เพียงส่งเสริมให้หญิงไทยตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ ยังทำแมมโมแกรมเป็นพื้นฐานเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปด้วย

            นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จย่าที่ทรงมีต่อผู้หญิงไทยในการพระราชทานศูนย์ถันยรักษ์ให้เป็นศูนย์บริการตรวจวินิจฉัยเต้านมครบวงจรมาตรฐานสากลที่โรงพยาบาลศิริราช ถึงวันนี้เป็นเวลา 20 ปีแล้ว

เอกสารประกอบ

ดาวน์โหลด