โรคเอดส์ ตอนที่1
โรคเอดส์ (ตอนที่1)
ผศ.นพ.ถนอมศักดิ์ เอนกธนานนท์
ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม
Faculty of
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
เป็นที่ทราบกันดีว่าโรคเอดส์นั้นเป็นโรคที่ยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดได้ แต่ว่าสิ่งที่สำคัญก็คือเรื่องของการป้องกันไม้ให้เป็นโรคเอดส์ โดยเฉพาะในกลุ่มของวัยรุ่นซึ่งควรที่จะมีความรู้ในเรื่องของการป้องกันตนเองอย่างถูกวิธีด้วย ดังนั้น การให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมโรคเอดส์ โดยเฉพาะในกลุ่มของวัยรุ่นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุข จนถึงเดือนมกราคม 2547 มีผู้ป่วยทั้งหมด 230,000 รายเศษ ร้อยละ 80 อยู่ในกลุ่มวัยทำงาน อายุตั้งแต่ 20-39 ปี ในส่วนของกลุ่มวัยรุ่น ไม่มีจำนวนตัวเลขที่แน่นอน แต่ตัวเลขประมาณการทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่สำหรับผู้ที่ติดเชื้อ HIV 570,000 ราย เกือบทั้งหมดจะอยู่ในระหว่างอายุ 15-49 ปี เนื่องจากมีผู้ป่วยบางส่วนที่ติดเชื้อแล้วแต่ยังไม่แสดงอาการ จึงไม่ได้มารับการตรวจเลือดว่าติดเชื้อ HIV หรือไม่ ในจำนวนนั้นก็รวมถึงช่วงอายุของวัยรุ่นด้วย ข้อมูลจากหนังสือ และจากการพูดคุยระหว่างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลผู้ติดเชื้อ HIV พบว่าวัยรุ่นมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อ HIV สูงขึ้นรวมทั้งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นหนองใน ซิฟิลิส กามโรคอื่นๆ เนื่องจากว่าวัยรุ่นบางกลุ่มมีค่านิยมเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆ แล้วมักไม่ใช้ถุงยางเวลามีเพศสัมพันธ์และบางส่วนก็มีขายบริการ แบบไม่เปิดเผยซึ่งมักไม่ใส่ถุงยางเช่นกัน เพราะฉะนั้นการติดเชื้อในกลุ่มวัยรุ่นจึงจะมีแนวโน้มที่สูงขึ้น แต่ว่ายังไม่มีตัวเลขที่แน่นอน
โรคเอดส์มีการติดต่อได้ทางใดบ้าง
สามารถติดได้จากการมีเพศสัมพันธ์ สำหรับในไทยระหว่างชายกับหญิงเป็นส่วนใหญ่ ถัดมาก็จะเป็นกลุ่มที่ใช้ยาเสพติดและมีการแลกเปลี่ยนเข็มฉีดยาเสพติดร่วมกัน อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่พอสมควรก็คือเด็กที่ติดเชื้อจากแม่ เนื่องจากว่าขณะที่แม่ตั้งครรภ์มีการติดเชื้อ HIVอยู่แล้วและไม่ได้รับการฝากครรภ์หรือว่ามาฝากครรภ์ตั้งแต่ระยะแรกๆ ไม่ได้รับการป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก หรือถึงแม้ว่ามาฝากครรภ์และมีการใช้ยาป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกก็ไม่สามารถป้องกันได้100% ซึ่งก็ยังมีโอกาสติดเชื้อจากแม่ได้
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ทำให้เกิดโรค
การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย และมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคนด้วยกัน และอย่างแม่บ้าน ถึงแม้ไม่ได้ไปมีเพศสัมพันธ์กับชายอื่นเลย แต่สามีอาจไปนำเชื้อมาให้ได้
อาการแสดงของโรคเอดส์มีกี่ระยะ อะไรบ้าง
ระยะแรกสุดเลยก็คือ หลังจากติดเชื้อมาใหม่ๆ 2-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยบางส่วนที่รับเชื้อมาใหม่ๆจะมีอาการคล้ายไข้หวัดร่วมกับมีผื่นแดงเกือบทั่วตัว มีเจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ ต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่พบผู้ป่วยระยะนี้ เนื่องจากอาการต่าง ๆ เหล่านี้จะหายไปได้เองประมาณ 2-3 สัปดาห์ ผู้ป่วยบางส่วนก็จะไปซื้อยารับประทานเอง หรือไม่ก็ไปรักษาตามคลินิก ถ้าไม่ได้ซักประวัติเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงหรือผู้ป่วยไม่ได้แจ้งให้แพทย์ทราบว่าตัวเองมีพฤติกรรมเสี่ยงก่อนที่จะไม่สบายก็จะไม่สามารถตรวจพบผู้ป่วยในระยะนี้ได้ ส่วนในระยะถัดไปผู้ป่วยก็จะอยู่ในระยะที่ไม่มีอาการแต่ว่าระดับของภูมิต้านทานก็จะต่ำลงเรื่อยๆ ในคนไทยมีผู้ศึกษาแล้วเฉลี่ยว่าหลังจากได้รับเชื้อจนกระทั่งภูมิต้านทานต่ำจนถึงระดับอันตรายซึ่งทำให้เสี่ยงต่อโรคนี้มีระยะเวลาประมาณ 5-6 ปี ซึ่งระยะนั้นผู้ป่วยก็จะมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่าง ๆ ได้ ที่พบบ่อยมากก็คือวัณโรค ปอดอักเสบจากเชื้อรา และเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา
หากสงสัยว่าได้รับเชื้อการตรวจเลือดในระยะต้นจะทราบหรือไม่
สำหรับระยะแรกสุดหลังจากที่ได้รับเชื้อมาใหม่ๆ การตรวจโดยวิธีธรรมดาอาจตรวจไม่พบ เนื่องจากว่าเชื้อนี้มีระยะฟักตัวในการเปลี่ยนแปลงของผลเลือดจากลบเป็นบวก เพราะฉะนั้นถ้าในคนที่มีปัจจัยเสี่ยงและตรวจเลือดครั้งแรกเป็นลบ ก็ควรตรวจซ้ำในระยะเวลาถัดมา โดยทั่วไปผู้ป่วยเกือบทั้งหมดประมาณ 95 % จะมีผลเลือดเป็นบวกหลังจากที่ได้รับเชื้อมา เพราะฉะนั้นบางส่วนที่ตรวจก่อนหน้านั้นก็จะมีผลเลือดเป็นลบอยู่ และถ้าติดตามไปถึงหนึ่งปีทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คงจะมีผลเลือดเป็นบวกอยู่ในคนที่ติดเชื้อ
การมีเพศสัมพันธ์ที่ถูกวิธีและวิธีป้องกันการติดโรคเอดส์นั้นทำอย่างไรบ้าง
ควรจะมีการป้องกันโดยใช้ถุงยางอนามัย ไม่ว่าจะเป็นการมีเพศสัมพันธ์โดยปกติหรือการใช้ปากเหล่านี้ ก็ควรมีการใช้ถุงยางเช่นเดียวกัน และก็ไม่ควรจะสำส่อน ถ้าเป็นสามีที่มีภรรยาแล้วก็ไม่ควรไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาของตัวเอง แล้วการดูน้ำหนักก็คงไม่สามารถบอกได้เพราะบางคนยังไม่อยู่ในระยะที่มีอาการควรจะให้ความรู้เรื่องการมีเพศสัมพันธ์และการป้องกันโรคเอดส์อย่างไร?
ควรให้ความรู้แก่วัยรุ่นในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ และ ป้องกันโรคเอดส์ควรทำอย่างไร หรือมีแนวโน้มการชักจูงอย่างไรให้ห่างไกลกับเรื่องเหล่านี้
สำหรับผู้ใหญ่ทั้งพ่อแม่ผู้ปกครอง หรือคุณครูก็ควรทำตัวเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่ว่ามีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ซึ่งเด็กก็จะลอกเลียนแบบ และสอดส่องดูแลการเข้าไปในเว็บไซต์ต่างๆ เพราะเด็กอาจจะเข้าไปดูสิ่งลามกต่างๆ ที่แสดงการมีเพศสัมพันธ์ให้ดู และการเที่ยวกลางคืนของเด็กก็ต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะอย่างที่ได้ยินได้ฟังจากข่าวว่าเด็กสาวมีชายหนุ่มมาชวนซ้อนมอเตอร์ไซด์หรือไปเที่ยวไหนต่อและก็มักจะเกิดเรื่องขึ้นมา ตรงนี้ต้องระวังให้ดี ส่วนเพศศึกษาก็คิดว่าควรจะเริ่มมีการสอดแทรกในหลักสูตรตามโรงเรียน แต่วิธีการยังยากอยู่เนื่องจากบ้านเราการยอมรับยังไม่เหมือนกับต่างประเทศซึ่งต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปในส่วนของสื่อต่าง ๆ ก็ควรเน้นเรื่องการป้องกันการติดเชื้อ HIV รวมทั้งกามโรค การรณรงค์ให้ใช้ถุงยางรวมทั้งการให้ความรู้ต่าง ๆ ควรจะทำอย่างต่อเนื่อง
- มีต่อตอนที่ 2-