ประวัติภาควิชา

                โรงเรียนแพทย์ได้เปิดทำการสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ที่โรงศิริราชพยาบาล ครั้นเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๑๕ ได้ตั้งชื่อโรงเรียนแพทย์ว่า "โรงเรียนแพทยากร" มีหลักสูตร ๓ ปี ต่อจากนั้นอีก ๑ ปี คือ ในปี พ.ศ.๒๔๔๓โรงเรียนแพทยากรได้ รับการปรับปรุงและได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า "โรงเรียนราชแพทยาลัย" มีหลักสูตร ๔ ปี ในระยะเริ่มแรกได้มีการสอนวิชาครรภานุเคราะห์ (ออบสเตทตริ๊ก) ในวันศุกร์ โดยสอนการปติสนธิ์, การใช้คีม และเครื่อง มือที่ใช้เมื่อคลอดธรรมดาไม่ได้ และสอนการอยู่ไฟใช้น้ำร้อนแทน ไม่ต้องใช้ฟืน สอนโดยหมอ เฮล์ (T. Hayward Hays) สอนอยู่ประมาณ ๒ ปี ต่อมาเมื่อหมอเฮล์ได้ลาออกไปประจำเป็นแพทย์อยู่เฉพาะโรงพยาบาลบางรัก ก็ได้หมออตัมเซน (Hans Adamsen) มาสอนแทน แพทย์รุ่น พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้บันทึกไว้ว่ามีการเรียนวิชาสูตินรีเวชศาสตร์ในชั้นปีที่สองและสาม และมีการฝึกปฏิบัติในหอผู้ป่วย ๓ เดือนในชั้นปีที่ ๔
          ศาสตราจารย์คนแรก ที่ทางมูลนิธิร็อคดิเฟลเลอร์ ส่งเข้ามาเป็นหัวหน้าแผนก ดำเนินการสอนวิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๖ คือ ศาสตราจารย์นายแพทย์ ทีโอบอลด์ (Geoffrey William Theobald) ชาวอังกฤษ ท่านผู้นี้มีความสนใจเรื่องโรคพิษแห่งครรภ์และ
ได้หเขียนตำราสูติศาสตร์ไว้เล่มหนึ่ง ในการสอนท่านได้เน้นถึง antisepsis ได้ให้โอกาสนักศึกษาแพทย์ปีที่สามได้ดูแบบปฏิบัติมากขึ้น ได้ให้รับผู้ป่วยก่อนคลอด เฝ้าดูการคลอด และดูการผ่าตัดเด็กออกทางหน้าท้อง ท่านได้ปรับปรุงงานด้านโรคเฉพาะสตรีให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น นับได้ว่าท่านได้วางรากฐานของวิชานี้ไว้อย่างดี
          ในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ศาสตราจารย์ ทีโอบอลด์ ได้เดินทางกลับประเทศอังกฤษ ศาสตราจารย์นายแพทย์ ดารล์ บ๊าคแมน (Carl Bachman) จากมหาวิทยาลัยเพ็นซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ได้เข้ามาดำเนินการแทน ท่านเป็นผู้มีความอุตสาหะวิริยะเป็นอย่างยิ่ง เป็นตัวอย่างที่ดีแก่นักศึกษา ท่านเป็นครูแพทย์ที่ดี สอนให้เข้าใจง่าย และกระตุ้นให้สนใจการค้นคว้าวิจัย ปรับปรุงการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตลอดจนการตรวจเนื้อที่ผ่าตัดด้วยกล้องจุลทรรศน์ ปรับปรุงเทคนิคการผ่าตัด นำเอาวิธี Low segment resection มาใช้ในการผ่าตัดเอาเด็กออกทางหน้าท้องแทนแบบ Classical ซึ่งเคยใช้มาแต่เดิม มีการให้เลือดในการผ่าตัด นอกจากนี้ท่านยังได้นำเอา Barton's forceps มาใช้ในการทำคลอด mid
transverse arrest of head และ เริ่มงานพิพิธภัณฑ์สำหรับภาควิชาขึ้นอีกด้วย ทำให้กิจการของภาควิชาเจริญขึ้นอย่างรวดเร็วสถิติการตายของผู้ป่วยลดลง
อย่างมาก ท่านได้จัดพิมพ์ Annual Report of Department of Obstetrics and Gynecology ขึ้นถึง ๒ ครั้ง และจัดสมุดจดรายงานผู้ป่วยเอาไว้อย่างมีระเบียบ ง่ายแก่การค้นคว้าทางสถิติ
          ในระหว่างที่ท่านศาสตราจารย์บ๊าคแมน ดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาอยู่นั้น ได้มีแพทย์ไทยที่สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศมาปฏิบัติงานอยู่หลายท่าน อาทิเช่น ศาสตราจารย์หลวงพรหมทัตเวที ศาสตราจารย์นายแพทย์เติม บุนนาค นายแพทย์เอื้อม ศิลาอ่อน รวมทั้งแพทย์ที่จบ และฝึกงานอยู่กับท่าน เช่น นายแพทย์ประพนธ์ เสรีรัตน์ นายแพทย์เจือ ปุญญโสนี และ นายแพทย์บัณเย็น ทวีพัฒน์ เป็นต้น
          เมื่อศาสตราจารย์ บ๊าคแมน ได้กลับสหรัฐอเมริกาแล้ว ศาสตราจารย์นายแพทย์เติม บุนนาค จึงได้รับแต่งตั้งให้รักษาการแทนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๙ และต่อมาได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกมาจนถึง ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ รวมเป็นเวลา ๒๗ ปี ท่านได้ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในโรงพยาบาลทั้งในและนอกเวลาราชการ ทำให้มีเวลาสำหรับสอนและควบคุมนักศึกษา และแพทย์ที่เพิ่มจบใหม่ ให้มีความรู้ความชำนาญจนพอจะใช้การได้ ในสมัยของท่านได้มีเรื่องตีพิมพ์ออกไปจากภาควิชาเป็นจำนวนมาก มีตึกเคียงศิริ เกิดขึ้นใช้เป็นห้องผ่าตัด และได้ต่อเติมตึกเคียงศิริขึ้นเป็น ตึกอุ่น โปษยะจินดา เพื่อรับคนไข้สามัญ ต่อเติมตึกตรีเพ็ชร์จาก ๒ ชั้น เป็น ๓ ชั้น เพื่อรับคนไข้พิเศษในชั้นสาม

ท่านได้แบ่งการปฏิบัติงานในภาควิชาออกเป็นหน่วยดังต่อไปนี้
         - หน่วยสูติกรรม
         - หน่วยเซพติค
         - หน่วยนรีเวชกรรม
         - หน่วยตรวจผู้ป่วยนอก

          นอกจากนี้แล้วยังมีคลินิกพิเศษ เช่น คลินิกกามโรค คลินิกผู้ป่วยหลังผ่าตัด คลินิกฝากครรภ์ คลินิกผู้ป่วยเป็นหมัน Endocrine Clinic เป็นต้น ท่านเป็นผู้มีความเข้มงวดกวดขันในการปฏิบัติงานเป็นอย่างยิ่งพร้อมกันก็ให้ความเมตตากรุณาแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ความเห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลืออย่างดียิ่ง ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีความอบอุ่นใจ กิจกรรมของภาควิชาเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมอารยประเทศ ในปี พ.ศ.๒๕๐๑ ศาสตราจารย์นายแพทย์ชัชวาล โอสถานนท์ ได้เข้าดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกสืบต่อมาจนถึงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๗ รวมเป็นเวลา
๗ ปี ในสมัยนี้ได้มีตึกเกิดขึ้น ๒ หลังคือ
          ตึกสูติศาสตร์ เป็นตึก ๔ ชั้น ชั้นล่างรักษาผู้ป่วยโรคเฉพาะสตรีหลังผ่าตัด ชั้นสองเป็นห้องคลอด และห้องเตรียมคลอด ชั้นสามเป็นหอผู้ป่วยตั้งครรภ์ที่มีโรคแทรกซ้อนและอยู่ในระยะเสี่ยงอันตราย ชั้นสี่เป็นหน่วยผดุงครรภ์ของพยาบาล มีห้องบรรยายและห้องทำงานของอาจารย์พยาบาล
          ตึกสูติพิเศษ เป็นตึก ๔ ชั้น สร้างทับเรือนไม้เก่า ซึ่งแต่เดิมใช้เป็นห้องผ่าตัด ชั้นล่างใช้เป็นสำนักงานแพทย์ และมีห้องประชุมของแผนก ชั้นสองเป็นห้องบริบาลทารกแรกคลอดที่ปกติ ส่วนชั้นสามและชั้นสี่ใช้เป็นหอผู้ป่วยพิเศษ
นอกจากนี้ยังได้ต่อเติมตึกเคียงศิริ - อุ่น โปษยะจินดา ขึ้นเป็นตึก ๓ ชั้น เพื่อเปิดชั้น ๓ (ตึกพรพิบูลย์) เป็นห้องคลอดพิเศษ
นอกจากตำแหน่งหัวหน้าแผนกแล้ว ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์ชัชวาล ได้รับแต่งตั้งเป็นคณบดี คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล ตั้งแต่วันที่
๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๐ อีกด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ท่านได้รับตำแหน่งอธิการบดี มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ท่านจึงได้สละตำแหน่ง
หัวหน้าแผนกให้ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์ธระ สุขวัจน์ รับช่วงสืบมา ท่านผู้นี้มีความชำนาญในเรื่องพยาธิสภาพทางสูตินรีเวชวิทยาเป็นอย่างยิ่ง แต่ได้ด่วนลาออกเสียก่อนหน้าเกษียณ อายุ ศาสตราจารย์แพทย์หญิงส่งศรี เกตุสิงห์ จึงได้รับหน้าที่แทนมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๙ จนครบเกษียณ
เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๒ ท่านมีโครงการสร้างตึก ๑ หลัง เป็นห้องบรรยาย และอีกหนึ่งหลังเป็นตึก ๘ ชั้น เพื่อใช้ในการค้นคว้าวิจัย ได้รับอนุมัติเงินงบประมาณและแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๑๕วันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ ศาสตราจารย์นายแพทย์ประพันธ์ อารียมิตร
ได้รับแต่งตั้งให้รักษาการหัวหน้าภาควิชา และเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ จึงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสืบต่อมา ได้ถือนโยบาย
การปรับปรุงภาควิชาในแง่ของการสอนนักศึกษา แพทย์ฝึกหัด แพทย์ประจำบ้าน ตลอดจนนักศึกษาพยาบาล ที่มาเรียนวิชาผดุงครรภ์อยู่ร่วมกันใน
ภาควิชา ได้มีโครงการจะรื้อตึกจุฑาธุช (เก่า) โดยได้รับอนุมัติให้รื้อตึกจุฑาธุช ที่ใช้งานมานานมากแล้ว และรื้อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๙ สร้างเป็นตึกจุฑาธุช (ใหม่) สูง ๑๓ ชั้น ซึ่งแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓

ตึกต่างๆ ของภาควิชาสูติศาสตร์ - นรีเวชวิทยา
         - ระยะแรกใช้เรือนไม้ฝากระดานหลังคามุงจาก ต่อมาได้ใช้ตึกราชแพทยาลัย เป็นที่อยู่ของคนไข้สูติกรรม เมื่อตึกตรีเพ็ชร์ และตึกจุฑาธุช             สร้างเสร็จได้ย้ายคนไข้ไปหมด
         - ตึกตรีเพ็ชร์ สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ ต่อเป็น ๓ ชั้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ รื้อเมื่อ  พ.ศ. ๒๕๔๒
         - ตึกจุฑาธุช สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒ รื้อเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑
         - ตึกปฏิบัติการสูติศาสตร์ สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ รื้อเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓
    &