ถนอมดวงตาลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิด

ถนอมดวงตาลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิด

อ.พญ.ศนิตรา  อนุวุฒินาวิน

ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา

อ.นพ.พิทยา ภมรเวชวรรณ

ภาควิชาจักษุวิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

              สำหรับทารกแรกเกิด  ดวงตาเป็นสิ่งสำคัญที่เชื่อมโยงทารกกับโลกรอบ ๆ ตัว ความสามารถในการมองเห็นที่ดีคือจุดเริ่มต้นนำไปสู่พัฒนาการที่ดีในด้านต่าง ๆ เช่น ทำให้การประสานงานของมือและตามีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง  ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นพัฒนาการทางสมองของลูก และนำไปสู่การพัฒนาทางด้านกายภาพอื่น ๆ ทั้งการนั่ง คว่ำ คลาน หรือการเดิน
           การเรียนรู้ทางการมองเห็นเป็นสัดส่วนสูงถึง 80% เมื่อเทียบกับการเรียนรู้จากทางอื่น เช่น จากการได้ยิน การได้กลิ่น การรับรู้รส และการสัมผัส ดังนั้น เด็กที่มีปัญหาในการมองเห็น จะส่งผลให้การเรียนรู้ถูกจำกัด พัฒนาการไม่ดีเท่าที่ควร และจะเป็นสาเหตุของปัญหาต่าง ๆ ในอนาคต เช่น ขาดความมั่นใจ เป็นเด็กที่มีปมด้อย และมีปัญหาได้
           
พัฒนาการของระบบการมองเห็นจะเป็นไปอย่างสมบูรณ์ได้นั้น  ส่วนประกอบของดวงตาจะต้องสมบูรณ์ทั้งรูปร่างและการทำงาน และจอตาของทารกต้องถูกกระตุ้นด้วยภาพที่คมชัด  ดังนั้น สาเหตุที่ทำให้ภาพที่เข้าสู่จอตาไม่คมชัด ได้แก่
             - ทารกที่มีภาวะสายตาผิดปกติ (ไม่ว่าจะสายตาสั้นมาก ยาวมาก หรือเอียงมาก ก็ทำให้ภาพที่จอตาไม่ชัด) 
             - มีภาวะหนังตาตก
             - ต้อกระจกในทารก หรือแม้แต่กระจกตา (ตาดำ) เป็นฝ้าขาว ซึ่งเป็นผลจากโรคเยื่อตาอักเสบจากการติดเชื้อหนองใน หรือกระจกตาติดเชื้อ จะทำให้พัฒนาการของระบบการมองเห็นเกิดขึ้นได้ไม่ดี

ทารกที่มีปัญหาดังกล่าว อาจจะมีสาเหตุมาจากการที่ขณะอยู่ในครรภ์ มารดามีความเสี่ยงเหล่านี้
             - การติดเชื้อในครรภ์ เช่น หัดเยอรมัน อีสุกอีใส เชื้อแบคทีเรียซิฟิลิส หรือ เชื้อปรสิต อาจทำให้ทารกในครรภ์มีความผิดปกติทางตา เช่น ตาอักเสบรุนแรง ต้อกระจก ต้อหิน หรือตาบอดได้
            (สำหรับโรคหัดเยอรมันและอีสุกอีใสสามารถป้องกันได้ เพียงคุณแม่ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต้องฉีดวัคซีนป้องกันก่อนปล่อยให้ตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือนขึ้นไป)
             - ดื่มแอลกอฮอล์ในขณะตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกมีความพิการทางตาได้หลายอย่าง เช่น ตาห่าง หนังตาตก ตาเหล่ สายตาสั้น ขั้วประสาทตาผิดปกติ นอกจากนี้ทารกอาจมีความพิการของใบหน้า น้ำหนักตัวน้อย เจริญเติบโตช้าหรือมีพัฒนาการผิดปกติ
             - การรับประทานยาบางชนิด อาจมีผลกระทบต่อการเจริญของตาทารก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้รับในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของการพัฒนาอวัยวะของทารก ดังนั้นหากจำเป็นต้องใช้ยาในระหว่างการตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์
             - โรคตาที่เกิดจากพันธุกรรมในครอบครัวที่มีประวัติเสี่ยง บางโรคอาจสามารถวินิจฉัยได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โดยการตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดด้วยวิธีการเจาะตรวจเนื้อรก น้ำคร่ำ หรือเลือดสายสะดือทารก

สัญญาณอันตราย ต้องหมั่นสังเกตลูกน้อย...
 - มีน้ำตาไหลเอ่อตลอด มีขี้ตามาก ตาแดง หรือมีการติดเชื้อของตาบ่อย ๆ
 - แก้วตา หรือเลนส์ตาขุ่นขาว
 - หนังตาบวม หรือขนาดลูกตาดูใหญ่/เล็กผิดปกติ
 - รูม่านตาไม่เท่ากัน
 - สีของม่านตาผิดปกติ
 - หนังตาตก
 - ตาเหล่ ตาเข
 - ชอบเอียงหรือหันศีรษะไปด้านใดด้านหนึ่ง
            ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ หรือผู้เลี้ยงไม่ควรละเลยสิ่งเหล่านี้ เนื่องจากทารกไม่สามารถสื่อสารหรือพูดคุยได้เหมือนผู้ใหญ่  ความผิดปกติทางตาของทารก สามารถสังเกตได้จากการเลี้ยงดู

            ภัยร้ายคุกคามดวงตาน้อย ๆ ของทารกที่พบได้บ่อยเป็นอันดับต้น ๆ คือ “โรคเยื่อตาอักเสบในทารก” เป็นการติดเชื้อที่พบได้บ่อยในช่วงหนึ่งเดือนแรกของชีวิต และอาจเป็นสาเหตุสำคัญของอาการตาบอดในทารกแรกเกิด ทารกที่ติดเชื้อจะมีอาการหนังตาและเยื่อตาบวมแดง และ ขี้ตาเป็นหนอง  

สาเหตุของโรค
         มักจะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส ซึ่งเชื้อก่อโรคที่พบได้บ่อยที่สุดและทำให้เกิดอาการรุนแรงจนทำให้ตาบอด คือ หนองในและหนองในเทียม ซึ่งเป็นเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทารกได้รับเชื้อมาจากช่องทางคลอดของมารดาที่ติดเชื้อ
        *โดยโรคเยื่อตาอักเสบจากเชื้อหนองในจะมีอาการรุนแรงมากกว่าการติดเชื้อจากหนองในเทียม

วิธีป้องกัน
        วิธีป้องกันโรคเยื่อตาอักเสบของทารกได้ดีที่สุด คือ การตรวจคัดกรองโรคหนองในและหนองในเทียมในสตรีตั้งครรภ์ทุกรายและให้การรักษาตั้งแต่ก่อนคลอด แต่ข้อจำกัดของวิธีนี้ คือ การติดเชื้อหนองในและหนองในเทียมส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการ และการตรวจคัดกรองในสตรีตั้งครรภ์ทุกรายอาจไม่สามารถกระทำได้ จึงทำให้สตรีตั้งครรภ์กลุ่มเสี่ยง เช่น ไม่ได้รับการฝากครรภ์ มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือการใช้สารเสพติด อาจไม่ได้รับการตรวจคัดกรองและไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่ก่อนคลอด นอกจากนี้การตรวจคัดกรอง “เชื้อหนองในเทียม” นั้นวิธีการค่อนข้างยุ่งยากและมักจะมีการติดเชื้อซ้ำหลังการรักษาได้บ่อย
        ดังนั้นการป้องกันการติดเชื้อโดยการใช้ยาหยอดตาในทารกแรกเกิดทุกราย จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมมากกว่าการตรวจคัดกรองในมารดา เพราะปลอดภัย สะดวก สามารถทำได้ทุกราย ราคาไม่แพง และยังลดอัตราการติดเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อหนองในได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หนองในเทียมอาจมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้ไม่ดีนัก

ยาหยอดตาที่แนะนำให้ใช้ในปัจจุบัน คือ
  - 0.5% erythromycin eye ointment
  - 1% tetracycline eye ointment
  - 1% silver nitrate
        ยาหยอดตาทั้ง 3 ชนิดนี้  แพทย์หรือพยาบาล จะเป็นผู้หยอดตาแก่ทารกแรกเกิดทุกรายเพื่อป้องกันโรคเยื่อตาอักเสบ และให้การรักษาเพิ่มเติมถ้าตรวจพบว่ามารดาหรือทารกมีการติดเชื้อ
         ผลข้างเคียงของการใช้ยาหยอดตาที่สำคัญ คือ หนังตาและเยื่อบุตาบวมแดงร้อน  โดยทั่วไปเกิดภายใน 24 ชั่วโมงและหายได้เองใน 48 ชั่วโมง แต่ไม่เป็นอันตรายกับดวงตาของทารก

การป้องกันทำได้ 4 วิธี คือ 
        1. สตรีวัยเจริญพันธุ์ต้องรู้จักป้องกันตนเองจากการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
        2. เมื่อรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจคัดกรองหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และรับการรักษาถ้ามีการติดเชื้อ
        3. ทารกเมื่อแรกคลอด ควรได้รับการหยอดตาทันที เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคเยื่อตาอักเสบ (ในกรณีนี้จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลจากแพทย์และพยาบาลผู้ทำคลอด)
        4. มารดา-บิดาของทารก ควรสังเกตอาการผิดปกติที่กล่าวไว้ข้างต้น และหากพบว่าเข้าข่ายก็ควรพาทารกมาพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษา  

ความเชื่อผิด ๆ ที่ผู้ปกครองมักจะทำ และส่งผลต่อทารก
        - การถ่ายภาพโดยเปิดแฟลช ถ้าตาของทารกสัมผัสแสงแฟลชในระยะเวลาสั้น จะมีผลเสียน้อย  นอกเสียจากว่าจะเปิดแฟลชถ่ายภาพในระยะใกล้กับตาทารกมากและถ่ายบ่อย ๆ  จะทำให้ทารกเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจก จุดรับภาพชัดเสื่อมเร็วกว่าปกติได้
        - ถ้าการถ่ายภาพโดยเปิดแฟลชในระยะห่างจากตาทารกพอสมควรและไม่บ่อยมาก ก็จะไม่มีอันตรายต่อตาทารก) 
        - หยอดตาทารกด้วยน้ำนมแม่   ในชนบทเชื่อว่าน้ำนมแม่มีความบริสุทธิ์ สามารถรักษาโรคตาได้  แต่ในความเป็นจริงแล้ว น้ำนมแม่ถือเป็นแหล่งอาหารที่ดีของเชื้อโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้านำไปหยอดตาทารกที่เป็นโรคตาแดงติดเชื้อหรือกระจกตาเป็นแผลติดเชื้อ จะยิ่งทำให้โรครุนแรงมากยิ่งขึ้น  กระจกตา (ตาดำ) จะขุ่นขาวมากขึ้น และส่งผลต่อการมองเห็นในที่สุด          
        ดังนั้น ถ้าคุณพ่อคุณแม่พบความผิดปกติของตาทารก ควรนำทารกมาพบจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นของทารก

พบอาการเหล่านี้ อย่ารีรอ รีบพาทารกไปพบแพทย์ทันที
        - เปลือกตาและเยื่อบุตาบวมแดง
        - มีขี้ตาสีเหลือง หรือสีเขียวคล้ายหนอง
        (ในกรณีการติดเชื้อหนองใน จะเริ่มแสดงอาการในวันที่ 2-5 หลังคลอด และพบการติดเชื้อได้น้อยมากถ้าหลังคลอดเกิน 10 วัน ส่วนการติดเชื้อหนองในเทียมอาการจะเกิดขึ้นช้ากว่าประมาณ 5-14 วันหลังคลอด)

        ดวงตาของทารกเริ่มเจริญขึ้นขณะอายุครรภ์ประมาณ 4 - 5 สัปดาห์ ช่วงอายุครรภ์ 28 สัปดาห์ ทารกสามารถลืมตาและตอบสนองต่อแสงสว่างได้ แต่ความสามารถของการมองเห็นยังคงต้องพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ หลังคลอดจนกระทั่งอายุ 6 - 7 ปี ดังนั้น เราจึงควรให้ความสำคัญต่อสุขภาพตาและการมองเห็นของทารกมากยิ่งขึ้น และเมื่อสงสัยว่าทารกอาจมีการติดเชื้อโรคเยื่อตาอักเสบ ผู้ปกครองควรรีบพามาพบแพทย์เพื่อรักษา โดยการให้ยาฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันอาการตาบอดและการกระจายของเชื้อไปสู่อวัยวะต่างๆของร่างกายค่ะ


เอกสารประกอบ

ดาวน์โหลด