สารพัดความเชื่อของแม่ท้อง ตอนที่ 1
สารพัดความเชื่อของแม่ท้อง ตอนที่ 1
รองศาสตราจารย์นายแพทย์วิทยา ถิฐาพันธ์
ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา
Faculty of
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
เวลาที่คุณผู้หญิงจะตั้งท้องขึ้นมาซักครั้งนึง ไม่ใช่ว่าจะมาหาหมอและฝากท้องกับหมอเพียงคนเดียวนะครับ จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมพบว่า นอกจากจะฝากท้องกับหมอแล้ว คุณแม่ที่ตั้งท้องยังจะไปฝากท้องกับคนอีกหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นหมอดู พระ ญาติผู้ใหญ่ เพื่อน หรือบางคนฝากกับศาลพระภูมิก็ยังมี ทำไมผมถึงว่าอย่างนั้นละครับ เหตุผลก็เพราะพบไม่น้อยเลยที่บางทีเวลาผมแนะนำคุณแม่ให้รับประทานยาบำรุงที่ให้ไปก็ไม่ยอมทำตาม แต่ไปซื้อสมุนไพรมากินแทนตามเพื่อนหรือญาติแนะนำ บางคนไปรดน้ำมนต์ตามคำแนะนำของพระเพื่อให้คลอดง่าย บางคนก็มารบเร้าหมอให้ผ่าคลอดตามฤกษ์ยามตามที่หมอดูแนะนำ บางคนคลอดแล้วต้องไปนอนอยู่ไฟจนมีแผลพุพองที่หน้าท้องตามคำแนะนำของยายก็มี การกระทำต่างๆดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องของความเชื่อครับ และที่ผมสังเกตดูพบว่าความเชื่อเหล่านี้ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับพื้นฐานความรู้ของคุณแม่หรือสามีเท่าไร บางคนยิ่งเรียนมากยิ่งเชื่อเรื่องเหล่านี้มากโดยเฉพาะคนที่เรียนทางสายวิทยาศาสตร์ก็ไม่มีข้อยกเว้นหรอกครับ ผมมีคนไข้ที่เรียนจบระดับปริญญาเอกทางสายวิทยาศาสตร์ แต่เวลาตัวเองท้องกลับทำอะไรทุกอย่างที่เป็นไสยศาสตร์ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยก็มี
สาเหตุของความเชื่อ
ในสมัยก่อนการคลอดเหมือนกับการไปรบทัพจับศึก คุณแม่มีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก เพราะการแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้าพอ คนสมัยก่อนจึงต้องเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมและปฏิบัติตามความเชื่อที่คิดว่าจะทำให้การคลอดปลอดภัย ถ้าวิธีการไหนดูแล้วคิดว่าน่าจะดีก็มีการถ่ายทอดความเชื่อนั้นส่งต่อกันมาจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งเป็นทอดๆจนถึงปัจจุบัน
ในปัจจุบันซึ่งเป็นยุคที่การแพทย์มีความเจริญมากแล้วพบว่าความเชื่อที่มีมาแต่ดั้งเดิมบางอย่างยังคงมีประโยชน์ แต่บางอย่างก็มีวิธีการใหม่ที่ดีกว่าหรือบางอย่างก็พิสูจน์ได้แล้วว่าไร้เหตุผลหรือเป็นอันตราย
เชื่ออะไรกันบ้าง ?
เพื่อให้เห็นภาพต่อเนื่อง ผมจะแบ่งความเชื่อเกี่ยวกับการตั้งท้องและการคลอดออกเป็น 4 ระยะ คือระยะก่อนตั้งท้อง ระยะตั้งท้อง ระยะคลอด และระยะหลังคลอด
ระยะก่อนตั้งท้อง
เริ่มตั้งแต่เวลาอยากมีลูกก็ต้องไปบนบานศาลกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลายขอให้ท้องเสียทีแต่งงานมาก็นานแล้ว ผมว่าจริงๆแล้วน่าจะมาบนกับสามีที่บ้านให้ทำการบ้านให้มากขึ้นและให้ตรงเวลาที่ไข่ตกน่าจะถูกต้องกว่า ไม่ใช่ปล่อยให้ยิงทิ้งยิงขว้างไม่ถูกเวลาแล้วอย่างงี้มันจะท้องได้อย่างไร แต่ไม่เป็นไรครับถ้าคิดว่าไปบนบานแล้วจะทำให้สบายใจก็ทำไปเถอะครับ เพราะไม่แน่เหมือนกันว่าเวลาสบายใจหรือมีความหวังไข่อาจจะตกดีกุ๊กกิ๊กกับสามีแค่ครั้งเดียวก็ท้องสมใจ ถ้าเป็นอย่างนี้สงสัยหลวงพ่อหรือศาลที่ไปบนดังแหงเลยครับ
มีบางคนใช้วิธีการที่ฟังดูแล้วช่างพิสดารพันลึกเหลือเกิน เช่น ไปลอดท้องช้างเพราะเชื่อว่าจะทำให้มีลูกและอายุยืนยาวด้วย แต่เผอิญซวยวันที่ไปลอด ช้างเกิดตกมันเหยียบตายเลยอายุสั้นหมดสิทธิ์มีลูกแถมชีวิตตัวเองก็หาไม่
ระยะตั้งครรภ์
ความเชื่อที่พบบ่อยคือความเชื่อเกี่ยวกับอาหารการกิน บางคนก็ถูกห้ามกินเนื้อสัตว์และนมจากสัตว์เพราะจะเป็นบาป ถ้าเชื่ออย่างนั้นสงสัยลูกที่คลอดออกมาเป็นลูกกรอกให้ขุนแผนเอาไปทำกุมารท้องแหงเลยเพราะไม่รู้จะเอาสารอาหารอะไรมาทำให้ลูกโต บางคนเชื่อว่าการกินอาหารที่มีสีดำ เช่น ขนมเปียกปูนหรือเฉาก๊วยแล้วลูกจะผิวดำ ความเชื่อเช่นนี้งมงายครับ คนจะขาวหรือดำเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ที่ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ครับ ผมเห็นแม่บางคนชอบกินไอศกรีมกะทิลูกออกมาตัวดำปี๋ชนิดถ่านร้องไห้เลยก็ยังมี
ความเชื่อยอดฮิตอีกอย่างก็คือเชื่อว่า ถ้าแม่ดื่มน้ำมะพร้าวมากๆจะช่วยให้ลูกผิวเกลี้ยงและช่วยล้างไขตามตัวด้วย ความเชื่อนี้ผิดครับ ไขที่ติดตามตัวเด็กสร้างขึ้นมาจากเซลล์ผิวหนังของเด็กและต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ยิ่งอายุครรภ์มากขึ้นไขก็จะสร้างมากขึ้นตามไปด้วย การมีไขเยอะๆจะทำให้เด็กคลอดง่ายเพราะเป็นเหมือนน้ำมันหล่อลื่นทาตัวเด็กขณะผ่านช่องคลอดออกมา เวลาคลอดหมอสูติจะเป็นสุขมากที่เห็นไขเด็กเพราะแสดงว่าเด็กที่ออกมาน่าจะครบกำหนด นอกจากนี้หลังคลอดใหม่ๆ ไขที่คลุมตัวเด็กจะช่วยคุมอุณหภูมิของลูกไม่ให้ต่ำเกินไปได้ด้วย หมอจึงมักปล่อยเด็กโดยให้ไขติดอยู่อีกระยะหนึ่งก่อนที่จะล้างทิ้งในภายหลังเมื่อแน่ใจว่าเด็กคุมอุณหภูมิตัวเองได้แล้ว การรีบล้างไขออกโดยเร็วอาจทำให้ลูกตัวเย็นผิดปกติและเป็นอันตรายได้ ดังนั้นผมอยากให้คิดใหม่ก็คือน่าจะให้มีไขเยอะๆ แทนที่จะป้องกันไม่ให้มีซะตั้งแต่ลูกยังอยู่ในท้องด้วยซ้ำ ที่อยากจะเตือนอีกอย่างก็คือ น้ำมะพร้าวที่เห็นใสแจ๋วนั่นน่ะความจริงมีน้ำตาลและกรดไขมันอิ่มตัวเพียบเลย กินเข้าไปมากๆจะทำให้ลูกตัวโตแต่ไม่แข็งแรงและแม่ก็เสี่ยงต่อการเกิดไขมันอุดหลอดเลือดได้สูงขึ้น ดังนั้นงดได้ก็งดเสียนะครับ เกี่ยวกับเรื่องกินอีกอย่างก็คือ ยาบำรุงเลือดที่หมอให้ไปกินขณะมาฝากท้อง พบว่าหลายคนก็ไม่ยอมกินทั้งที่อธิบายแล้วก็เถอะ เท่าที่ถามดูส่วนมากเชื่อว่ากินแล้วจะอ้วน กลัวคลอดแล้วน้ำหนักจะไม่ลด กลัวรูปร่างเป็นอึ่งอ่างแล้วสามีจะไม่รัก ขอเรียนว่าไม่จริงเลยครับ ยาบำรุงเลือดไม่ทำให้อ้วนหรอกครับ ที่อ้วนส่วนมากมาจากสาเหตุใหญ่ๆ 2 ประการประการแรกอ้วนเพราะผลของฮอร์โมนจากการตั้งท้องซึ่งจะมีมากน้อยแล้วแต่คน อีกประการหนึ่งมาจากการกินมาก ออกกำลังน้อย และนอนหลับง่าย คล้ายๆ กับหมูตอนถูกขุนก่อนเอาไปเชือดนั่นแหละครับ อาหารบางอย่างกินแล้วอ้วนง่ายเช่นทุเรียน แม่บางคนตอนท้องกินทีละเป็นเข่งก็มี แล้วอย่างงี้จะไม่ให้อ้วนได้อย่างไงไหว
สมัยก่อนมีเครื่องอัลตราซาวด์ มีความเชื่อเกี่ยวกับเพศของลูกในท้องหลายอย่าง เช่น เชื่อว่าถ้าผิวของแม่ดูเปล่งปลั่งน่าจะเป็นลูกสาว ถ้าคอแม่มีสีดำขึ้นน่าจะได้ลูกชาย ถ้าสะดือแม่คว่ำน่าจะได้ลูกสาว สะดือหงายน่าจะได้ลูกชาย ความเชื่อเหล่านี้พิสูจน์แล้วครับว่าเพ้อเจ้อ
ความเชื่ออีกอย่างที่ยังมีอยู่แม้ว่าจะน้อยลงไปเรื่อยๆ ก็คือเชื่อว่าการตรวจด้วยอัลตราซาวด์จะทำให้ลูกในท้องพิการได้ เพราะเชื่อว่าอัลตราซาวด์มีรังสีบางอย่างออกมา ขอเรียนว่าไม่จริงครับ เครื่องมือนี้ไม่มีรังสีอะไร มีแต่คลื่นเสียงที่มีความถี่สูงมากจนหูคนเราไม่ได้ยิน และมีข้อพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าไม่มีอันตรายต่อลูกในท้องแต่อย่างใด
ระยะคลอด
สมัยก่อนที่คนยังคลอดตามบ้าน ก็เชื่อกันว่าเวลาคลอดต้องเปิดประตูหน้าต่าง ไขตู้ลิ้นชักเปิดให้หมด ห้ามนั่งคาประตูหรือขวางบันได ฟังดูก็น่าจะเป็นการถือเคล็ดหรือเป็นความหมายให้คลอดง่ายนั่นเอง ปัจจุบันคนไทยคลอดที่โรงพยาบาลกันเป็นส่วนมาก การทำดังกล่าวจึงไม่ค่อยได้เห็นกันแล้ว ยกเว้นแต่ในชนบทที่ห่างไกล ซึ่งถ้าเดี๋ยวนี้ยังทำอย่างที่ว่าอยู่ มีหวังถูกยกเค้าหมดบ้านแหงเลย
ความเชื่ออีกอย่างที่ฮิตกันมากก็คือ เชื่อว่าลูกจะแข็งแรง เป็นคนเก่ง มีวาสนาดี จะต้องผ่าคลอดตาม ฤกษ์ยามที่ดี เท่าที่ผมได้รับฟังหรือร้องขอพบว่าฤกษ์ยามที่ดีที่พระดูมาให้มักจะเป็นช่วงเวลาที่วิปริตผิดธรรมชาติแทบทั้งสิ้น เช่น ตี 3 หรือเช้ามืด เป็นต้น เวลาอย่างนี้เป็นเวลาที่คนเราควรจะนอนหลับพักผ่อน ไม่ใช่เวลาที่จะมาทำผ่าตัดที่ไม่ฉุกเฉินหรือจำเป็น เพราะเป็นเวลาที่ทุกคนง่วงนอน คนทำงานก็น้อย เผื่อมีปัญหาจากการผ่าตัด เช่น ตกเลือดหรือช็อก ก็จะหาคนมาช่วยได้ยาก เป็นอันตรายต่อชีวิตของทั้งแม่และลูกนะครับ อันตรายอีกอย่างจากการผ่าตัดตามฤกษ์ยามก็คือ ฤกษ์ยามคลอดที่พระดูมาให้บางทีคำนวณดูแล้วเด็กยังไม่ครบกำหนดก็มีเพราะพระไม่เคยเรียนมาว่าเด็กในท้องจะถือว่าครบกำหนดต้องมีอายุครรภ์เกิน 37 สัปดาห์ขึ้นไป ก็เลยดูไปเรื่อยโดยไม่เข้าใจเรื่องนี้ ผลก็คือบางคนพระแนะนำให้ผ่าในช่วงเวลาก่อนครบกำหนด คุณแม่ก็เอาฤกษ์ยามที่ว่าไปบีบบังคับหมอให้ผ่าตามที่ต้องการ หมอบางคนเกรงใจผ่าให้ ผลก็คือแทนที่จะได้ลูกที่เป็นใหญ่เป็นโตในอนาคต ลูกอาจจะหายใจไม่ได้เพราะปอดยังทำงานได้ไม่ดีเนื่องจากยังไม่ครบกำหนด ต้องรักษาในตู้อบกันอีกนาน บางรายเสียชีวิตก็มีให้เห็น ก็อยากจะเตือนไว้ด้วย
- มีต่อตอนที่ 2 -