หืด - โรคทรมาน ตอนที่1

หืด - โรคทรมาน (ตอนที่1)

ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

            โรคหืด  เป็นโรคที่พบบ่อยทั้งเด็กและผู้ใหญ่  และมีแนวโน้มที่จะพบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ข้อมูลของสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทยแจ้งว่า  ในปี พ.ศ. 2545  มีผู้ป่วยโรคหืดในประเทศไทย  3  ล้านคน  หรือคิดเป็นร้อยละ  5  ของประชากรทั่วไป  ในขณะที่ประเทศแถบยุโรปตะวันตกซึ่งเป็นแถบที่ถือว่ามีความชุกของโรคหืดสูงสุดในโลก  พบว่า  เด็กร้อยละ  10-15  และผู้ใหญ่ร้อยละ  8.4  เป็นโรคหืด  โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ  2-4  ต่อปีในรอบ  15  ปีที่ผ่านมา
ในประเทศไทยได้มีรายงานการสำรวจความชุกของโรคหืดตีพิมพ์เป็นระยะ  ในผู้ใหญ่รายงานปี  2518  พบเพียงร้อยละ  2.4   ปี  2538  พบร้อยละ  4.8  ต่อมาในปี  2541  พบผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์ว่าเป็นโรคหืดร้อยละ  8.8  โดยร้อยละ  10  ยังคงมีอาการหอบหืดอยู่ในรอบ  12  เดือนที่ผ่านมา  การศึกษาล่าสุดตีพิมพ์ปี  2547  ในผู้ใหญ่อายุ  20-44  ปี  ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่  4  เมือง  คือ  กรุงเทพฯ  เชียงใหม่  ขอนแก่น  และสงขลา  พบความชุกของผู้ที่เคยมีอาการหอบหืดร้อยละ  10.8  ขณะนี้ยังมีอาการหอบหืดอยู่  ร้อยละ  6.8  โดยผู้ที่อยู่ในกรุงเทพมหานครมีความชุกของโรคหืดสูงสุด  คือ  ผู้ที่เคยมีอาการหอบหืด  ร้อยละ  13.6  และผู้ที่ยังมีอาการหอบหืดอยู่  ร้อยละ  9.4
            รายงานการศึกษาในเด็กที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ  ปี  2541  พบเด็กที่เคยมีอาการหอบหืด  ร้อยละ  18.3  และขณะนี้ยังมีอาการหอบหืดอยู่  ร้อยละ  12.7  ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับรายงานการศึกษาในปี  2533  พบว่าโรคหืดมีอัตราความชุกเพิ่มขึ้นถึง  4  เท่า  จะเห็นได้ว่า  อัตราการเป็นโรคหืดของเด็กและผู้ใหญ่ในบ้านเราไม่แตกต่างจากประเทศทั่วโลก  และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ  เช่นกันด้วย  จึงสมควรที่จะทำความรู้จักและพยายามรักษาป้องกันโรคนี้ให้ดียิ่งขึ้น
โรคหืดเกิดจากการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม  ทำให้หลอดลมไวต่อสิ่งกระตุ้น  เกิดอาการหดเกร็งของหลอดลม  มีการหลั่งมูกในหลอดลมเพิ่มขึ้นและผนังหลอดลมบวม  เป็นผลให้มีอาการของหลอดลมตีบแคบ  ซึ่งอาการเหล่านี้อาจทุเลาได้เองหรือโดยใช้ยา

สาเหตุ  
            พบว่ามีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง  ปัจจัยที่สำคัญที่สุด  คือ  โรคภูมิแพ้  โดยเด็กที่เป็นหืด  ร้อยละ  80  เป็นโรคภูมิแพ้  แต่ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคหืดมีเพียงร้อยละ  50  ที่เป็นโรคภูมิแพ้  ดังนั้นปัจจัยเสี่ยงของเด็กที่จะเป็นโรคหืดคือเรื่องของพันธุกรรม  เพราะโรคภูมิแพ้เป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดได้เป็นกรรมพันธุ์  พบว่า  เด็กที่เกิดในครอบครัวที่มีพ่อและ/หรือแม่  หรือญาติใกล้ชิดเป็นโรคหืด  หรือโรคภูมิแพ้ชนิดใดชนิดหนึ่ง  มีโอกาสที่จะเป็นโรคหืดสูงกว่าเด็กที่เกิดในครอบครัวที่ไม่เป็นโรคภูมิแพ้
            อีกปัจจัยเกี่ยวข้องที่สำคัญ  คือ  สิ่งแวดล้อม  สำหรับผู้ป่วยโรคหืดที่เกิดจากสาเหตุภูมิแพ้  การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีสารก่อภูมิแพ้เป็นเวลานาน  จะทำให้ผู้ป่วยเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อสารนั้นและทำให้เกิดอาการหอบหืดขึ้นมาได้  สารก่อภูมิแพ้ที่พบมีผู้แพ้บ่อย  ได้แก่  ตัวไรในฝุ่นบ้านแมลงสาบสัตว์เลี้ยงที่มีขน  ซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้ภายในอาคาร/บ้านที่อยู่อาศัย  ส่วนภายนอกบ้าน  ได้แก่  ละอองเกสรหญ้า  วัชพืช  ดอกไม้ชนิดต่าง ๆ  และเชื้อรา  ซึ่งเชื้อรานี้พบได้ทั้งภายในบ้านและภายนอกบ้าน
            สารระคายและมลพิษที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมเป็นจำนวนมากก็สามารถกระตุ้นให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคหืดทั้งชนิดที่เกิดจากโรคภูมิแพ้  และชนิดที่ไม่ได้เกิดจากภูมิแพ้มีอาการหอบหืดขึ้นได้  สารระคายที่พบบ่อย  ได้แก่  ควันบุหรี่  ควันท่อไอเสียรถ  ก๊าซ และกลิ่นฉุน ๆ  นอกจากนั้นในงานอาชีพบางชนิด  พบได้ทั้งสารก่อภูมิแพ้และสารระคาย  เช่น  ผู้ที่ทำงานในโรงงานต่าง ๆ  ดังนั้น  สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวผู้ป่วยจึงมีได้ทั้งสารก่อภูมิแพ้  สารระคาย  และมลพิษที่พบมากในเมืองใหญ่ที่มีความเจริญตามอย่างซีกโลกตะวันตก
            ปัจจัยอื่นที่ถือเป็นเหตุเสริมให้ผู้ป่วยโรคหืดเกิดมีอาการหอบหืดขึ้นมา  หรือถ้ามีอาการหอบหืดอยู่แล้วก็จะมีอาการกำเริบขึ้นได้ที่สำคัญ  คือ  การติดเชื้อไวรัส  เช่น  ไข้หวัด  การติดเชื้อแบคทีเรียของทางเดินอากาศหายใจส่วนบน  เช่น  ไซนัสอักเสบ  ทอนซิลอักเสบ  หรือแม้แต่ฟันผุ  การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างรวดเร็ว  สุขภาพที่อ่อนแอลงเนื่องจากขาดการพักผ่อน  ไม่ออกกำลังกาย  และความเครียด  วิตกกังวล  สาเหตุทางจิตใจก็มีส่วนทำให้โรคหืดกำเริบได้ด้วย

อาการของโรคหืด 
            คือ  หอบ  หายใจลำบาก  แน่นหน้าอก  ไอ  หายใจมีเสียงวี๊ดหรือเสียงฮื้ด  อาการมักเกิดเป็นพัก ๆ  โดยอาจเกิดอาการเมื่อออกกำลังหรือทำงานหนัก  หรือเป็นเวลานอนกลางดึกจึงเป็นโรคที่ทรมาน  ถ้าอาการมากจะมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมากด้วย  เมื่อสงสัยว่าจะเป็นโรคหืดจึงควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุ-ประเมินความรุนแรงของโรคและรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง  ถ้าผู้ป่วยไปพบแพทย์ได้ขณะที่กำลังมีอาการหอบหืด  แพทย์สามารถให้การวินิจฉัยโดยการฟังเสียงหายใจจากปอดได้เลย  แต่ถ้าไปตรวจขณะไม่มีอาการอาจต้องอาศัยการตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติม

-มีต่อตอนที่2-

 

เอกสารประกอบ

ดาวน์โหลด