โรคภูมิแพ้ และยาต้านฮิสทามีน

โรคภูมิแพ้ และยาต้านฮิสทามีน

รศ. นพ.ปารยะ อาศนะเสน
ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา

Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

            โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่พบบ่อยในคนไทย โรคนี้เกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในร่างกาย แล้วกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารนั้นมาก ผิดปกติ ภายหลังเมื่อได้รับสารนั้นเข้าไปอีก ภูมิคุ้มกันดังกล่าวก็จะกระตุ้นให้เกิดอาการ ซึ่งจะเกิดอาการเฉพาะในคนที่แพ้เท่านั้น ในคนปกติจะไม่เกิดอาการ
            โรคภูมิแพ้ เป็นกลุ่มของโรคที่แสดงอาการได้กับหลายระบบของร่างกาย อาการของโรคภูมิแพ้ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคภูมิแพ้ที่เป็น ซึ่งพยาธิสภาพนั้นเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายที่ทำงาน มากเกินไปทำให้เยื่อบุที่อวัยวะต่างๆ มีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากเกินไป ทำให้เกิดการตอบสนองที่มากผิดปกติของอวัยวะนั้นๆ เช่น
                - ถ้าเป็นที่ตา เรียกว่า เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (
allergic conjunctivitis) ผู้ป่วยจะมีอาการคันและเคืองตา ตาแดง น้ำตาไหล หนังตาบวม แสบตา
                - ถ้าเป็นที่จมูก เรียกว่า โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (
allergic rhinitis) หรือโรคแพ้อากาศ ผู้ป่วยจะมีอาการจาม คันจมูก น้ำมูกไหลออกมาทางจมูก หรือไหลลงคอ คัดจมูก คันเพดานปากหรือคอ
                - ถ้าเป็นที่หลอดลม เรียกว่า โรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคหอบหืด (
asthma) ผู้ป่วยจะมีอาการ ไอ หอบเหนื่อย หายใจขัด แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงวี้ด หายใจลำบากหรือหายใจเร็ว โดยเฉพาะเวลาตอนกลางคืน ตอนเช้ามืด หรือขณะออกกำลังกาย หรือขณะเป็นไข้หวัด
                - ถ้าเป็นที่ผิวหนัง เรียกว่า โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (
atopic dermatitis) ผู้ป่วยจะมีอาการคัน มีผดผื่นตามตัว ผื่นมักแห้ง แดง มีสะเก็ดบางๆ หรือมีน้ำเหลืองแห้งกรังปกคลุมอยู่ ในเด็กเล็ก มักเป็นที่แก้ม, ก้น, หัวเข่าและข้อศอก ในเด็กโตมักเป็นที่ข้อพับของแขนและขา ในรายที่เป็นเรื้อรัง ผิวหนังบริเวณที่เป็นจะหนาตัวขึ้นและมีสีคล้ำขึ้น นอกจากนั้นผิวหนังอาจเกิดการอักเสบจากการสัมผัสกับสารบางชนิดที่แพ้ได้ เช่น ผงซักฟอก เครื่องสำอาง ผิวหนังอาจมีการอักเสบเป็นตุ่มนูนคัน หรือใหญ่เป็นปื้นนูนแดง และคันมากที่เรียกว่า ลมพิษ ซึ่งมักจะเกิดจากการแพ้อาหาร โดยเฉพาะอาหารทะเล หรือ แพ้แมลงกัดต่อย หรือแพ้ยา
                - ถ้าเป็นที่ระบบทางเดินอาหาร เรียกว่า โรคแพ้อาหาร (
food allergy) ผู้ป่วยจะมีอาการ อาเจียน คลื่นไส้ ท้องเสีย ปากบวม ปวดท้อง ท้องอืด อาจมีอาการของระบบทางเดินหายใจ (เช่น หอบหืด, แพ้อากาศ) และผิวหนัง (เช่น ผื่นคัน, ลมพิษ) ร่วมด้วย อาหารที่เป็นสาเหตุได้บ่อย ได้แก่ นมวัว ไข่ ถั่ว อาหารทะเล ผักและผลไม้บางชนิด ผงชูรส สารกันบูด สารแต่งกลิ่นและสี

การรักษาโรคภูมิแพ้ มีขั้นตอนในการรักษา 4 ขั้นตอน คือ
            1. การดูแลตนเองอย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยง หรือกำจัดสิ่งที่แพ้ เป็นการรักษาที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นการรักษาและป้องกันที่สาเหตุ  อาจใช้วิธีสังเกตว่า สัมผัสกับอะไร อยู่ในสิ่งแวดล้อมใดหรือรับประทานอะไรแล้วมีอาการ ควรหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้น นอกจากนั้นควรกำจัดหรือลดปริมาณของสารก่อภูมิแพ้ที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบ ตัวให้เหลือน้อยที่สุด
            2. การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ เช่น ยาต้านฮิสทามีน (
antihistamines) ซึ่งมีความจำเป็นในระยะแรก เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้หรือสารระคายเคืองต่างๆ 100% อย่างไรก็ตาม ยาเป็นเพียงการรักษาปลายเหตุ เมื่อสามารถดูแลตนเอง และควบคุมสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น ความจำเป็นในการใช้ยาก็จะน้อยลงเรื่อยๆ
            3. การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ (
allergen immunotherapy) เป็นการรักษา โดยฉีดสารก่อภูมิแพ้ ที่คิดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ เข้าไปในร่างกายทีละน้อย แล้วค่อยๆเพิ่มจำนวน เพื่อให้สร้างภูมิต้านทานต่อสิ่งที่แพ้  วิธีนี้จะใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการมาก ไม่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา หรือไม่สามารถทนผลข้างเคียงของยาได้ หรือผู้ที่มีโรคภูมิแพ้หลายชนิดร่วมด้วย
            4. การรักษาโดยการผ่าตัด ใช้ในผู้ป่วยบางรายที่มีอาการคัดจมูกหรือน้ำมูกไหล ซึ่งให้การรักษาโดยการใช้ยาอย่างเต็มที่แล้วไม่ดีขึ้น หรือมีโรคบางอย่างร่วมด้วย เช่น ผนังกั้นช่องจมูกคด เยื่อบุจมูกบวมมากผิดปกติ ริดสีดวงจมูก ไซนัสอักเสบ ซึ่งไม่ดีขึ้นหลังให้การรักษาด้วยยา

เมื่อเกิดปฏิกิริยาการอักเสบจากภูมิแพ้ สารเคมีที่สำคัญที่หลั่งออกมา คือ ฮิสทามีน (histamine) ซึ่งจะกระตุ้นทำให้เกิดอาการต่างๆ ของโรคภูมิแพ้  ยาต้านฮิสทามีน จะไปป้องกันไม่ให้ ฮิสทามีน จับกับ ตัวรับฮิสทามีน (histamine receptor) ที่อวัยวะต่างๆ จึงบรรเทาอาการต่างๆของโรคภูมิแพ้ดังกล่าวข้างต้นได้   

ยาต้านฮิสทามีน แบ่งเป็น
1. ยาต้านฮิสทามีนชนิดกิน (oral H1-antihistamine) มี 3 รุ่น

            1.1) ยาต้านฮิสทามีนรุ่นแรก (first generation antihistamine) เช่นยา chlorpheniramine, diphenhydramine, cyproheptadine, hydroxyzine   ยากลุ่มนี้มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง  ทำให้ง่วงซึม  จึงไม่ควรใช้ในผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล หรือขับขี่รถยนต์  เรือ เครื่องบิน และไม่ควรใช้ยากลุ่มนี้ร่วมกับยากดประสาทชนิดอื่นๆเช่น ยานอนหลับ, ยาคลายเครียด, ยากล่อมประสาท, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์  (เหล้า  เบียร์) นอกจากนั้นยาชนิดนี้จะมีฤทธิ์ต้านระบบประสาทชนิดโคลเนอร์จิก   (anticholinergic) ด้วย ทำให้เกิดอาการปากแห้ง  คอแห้ง  เสมหะและน้ำมูกเหนียวข้น  ท้องผูก  ปัสสาวะขัดในผู้ชาย   ควรหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยโรคหืด โดยเฉพาะขณะหอบ, โรคต้อหิน และโรคต่อมลูกหมากโต

1.2)   ยาต้านฮิสทามีนรุ่นที่สอง (second generation antihistamine) เป็นการพัฒนายาต้านฮิสทามีนรุ่นแรก เช่น

terfenadine  พัฒนามาจาก   chlorpheniramine

astemizole   พัฒนามาจาก   diphenhydramine

loratadine    พัฒนามาจาก   cyproheptadine

cetirizine     พัฒนามาจาก   hydroxyzine

ยา terfenadine และ astemizole มีปัญหาต่อระบบหัวใจ จึงได้ถอนทะเบียนออกไป    ยากลุ่มนี้มีข้อดีกว่า ยาต้านฮิสทามีนรุ่นแรก คือ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ และออกฤทธิ์ได้นาน  เพราะจับกับตัวรับฮิสทามีนได้แน่นและนานขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงเหมือน ยาต้านฮิสทามีนรุ่นแรก

1.3)   ยาต้านฮิสทามีนรุ่นที่สาม (third generation antihistamine) เป็นยาต้านฮิสทามีนรุ่นใหม่ซึ่งพัฒนามาจากยาต้านฮิสทามีนรุ่นที่สองเช่น

        fexofenadine  พัฒนามาจาก  terfenadine

        desloratadine พัฒนามาจาก  loratadine

        levocetirizine พัฒนามาจาก  cetirizine

ยากลุ่มนี้มีข้อดีกว่า ยาต้านฮิสทามีนกลุ่มอื่นๆคือ

       - มีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ดี

       - ตัวยาเป็นตัวที่สามารถออกฤทธิ์ (active metabolite) ได้เลย ดังนั้นจึงไม่รบกวนการทำงานของตับ

       - ยาออกฤทธิ์ได้นาน เพราะจับกับตัวรับฮิสทามีนได้แน่น และนานขึ้น จึงใช้เพียงวันละครั้ง

       - เจาะจงเฉพาะกับตัวรับฮิสทามีน ชนิด H 1 (histamine H1 – receptor) เท่านั้น จึงใช้ปริมาณยาน้อยลง

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงแนะนำให้ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ใช้ยาต้านฮิสทามีนรุ่นที่สอง หรือสาม มากกว่ายาต้านฮิสทามีนรุ่นแรก สำหรับผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ ยาต้านฮิสทามีน ได้ผลดีในการบรรเทาอาการที่เกิดจากฮิสทามีนเช่น คัน, จาม, น้ำมูกไหล,คัน เคืองตา แต่ได้ผลน้อยกับอาการคัดจมูก  นอกจากนั้น ยาต้านฮิสทามีนยังช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ดีขึ้นด้วย   การใช้ยาต้านฮิสทามีนในการรักษาโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ในเด็กนั้นได้ผลดีและปลอดภัย

2. ยาต้านฮิสทามีนชนิดเฉพาะที่ (topical H1-antihistamine)  ยาต้านฮิสทามีนชนิดพ่นจมูก มีประสิทธิภาพดีในการบรรเทาอาการคัน, จาม , คัดจมูก, น้ำมูกไหล และผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ มักจะทนต่อยาได้ดี   ยาต้านฮิสทามีนชนิดหยอดตามีประสิทธิภาพดีเช่นกันในการบรรเทาอาการคัน, เคืองตา, แสบตา, น้ำตาไหล   แต่ยาต้านฮิสทามีนชนิดพ่นจมูกดูเหมือนว่าจะไม่ช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ทางตาเท่าใดนัก  เมื่อเปรียบเทียบกับยาต้านฮิสทามีนชนิดกิน  ข้อดีของยาต้านฮิสทามีนชนิดเฉพาะที่คือ สามารถออกฤทธิ์บรรเทาอาการทางจมูกและตาได้เร็ว (ภายใน 30 นาที)  ปัจจุบันยาต้านฮิสทามีนชนิดพ่นจมูกไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย
3. ยาต้านฮิสทามีนผสมกับยาหดหลอดเลือด (
H1- antihistamine + decongestant) จุดประสงค์ของการผสมยาทั้ง 2 ชนิดเข้าด้วยกัน คือ ใช้ช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกของผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ได้เพิ่มขึ้น  ซึ่งยาต้านฮิสทามีนมีฤทธิ์ดังกล่าวน้อย   นอกจากนั้น ถ้ายาต้านฮิสทามีนชนิดที่ผสมกันเป็นชนิดที่ทำให้ง่วง   ยาหดหลอดเลือดอาจช่วยลดผลข้างเคียงดังกล่าวได้  ยาผสมชนิดนี้สามารถให้ได้ ถ้าผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ มีอาการคัน, จาม, น้ำมูกไหล ร่วมกับอาการคัดจมูก  และมีรายงานว่าสามารถบรรเทาอาการดังกล่าวได้ดี  ข้อดีคือไม่ต้องสั่งยาทั้ง 2 ชนิด (คือ ยาต้านฮิสทามีนและ ยาหดหลอดเลือด) ให้แก่ผู้ป่วย ซึ่งจะเพิ่มความร่วมมือ (compliance) ของผู้ป่วยในการกิน


เอกสารประกอบ

ดาวน์โหลด