เมื่อใบหน้ากระตุกครึ่งซีก

เมื่อใบหน้ากระตุกครึ่งซีก

ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์
ภาควิชาอายุรศาสตร์
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

           หน้าตาคนเราถือเป็นส่วนสำคัญของร่างกายที่ทุกคนต่างทำให้ใบหน้าของตนดูงามเป็นที่น่าพบเห็น แต่มีบางคนที่ประสบภาวะใบหน้ากระตุกครึ่งซีก ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจเสียบุคลิก แล้วจะทำอย่างไรเรามีคำตอบให้คุณค่ะ 

รู้จักอาการ
           ภาวะใบหน้ากระตุกครึ่งซีก เป็นโรคที่พบมากในชาวเอเชียสาเหตุยังไม่มีใครทราบแน่ชัด พบได้ทั้งหญิงชายโดยเฉลี่ยอายุประมาณ 20 - 60 ปี  คนไข้จะเริ่มด้วยอาการเหมือนตาเขม่น อาจจะมีการกระตุกของกล้ามเนื้อบริเวณใต้ลูกตาข้างใดข้างหนึ่ง จากนั้นอาจเป็นมากขึ้นจนทำให้เกิดการกระตุกที่มุมปากและในที่สุดจะมีการกระตุกทั้งซีกบริเวณใบหน้าจนทำให้ตาตี่หรือตาหลิ่ว และปากเบี้ยวเป็นพัก ๆ 

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้มีภาวะใบหน้ากระตุกครึ่งซีกเป็นมากขึ้น ได้แก่
           1.  อดนอน
           2.  เครียด วิตกกังวล
           3. ใช้สายตามากติดต่อกันระยะเวลานาน

การวินิจฉัย
           แพทย์จะซักประวัติและตรวจร่างกายตามปกติ  โดยไม่จำเป็นต้องตรวจค้นด้วยวิธีพิเศษทางคอมพิวเตอร์สแกนสมอง หรือตรวจด้วยแม่เหล็กไฟฟ้าของสมองแต่อย่างใด เพราะการตรวจด้วยวิธีดังกล่าวมักจะไม่พบพยาธิสภาพหรือข้อบ่งชี้ว่าคนไข้เหล่านี้เกิดอาการด้วยพยาธิสภาพใด

อันตรายหรือไม่
           หลายคนกังวลว่าโรคนี้เกิดจากเนื้องอกของสมองหรือเป็นความผิดปกติที่ร้ายแรง แต่โดยทั่วไปคนไข้กลุ่มใบหน้ากระตุกครึ่งซีกจะไม่มีอาการของโรครุนแรงเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นถือว่าเป็นภาวะที่ไม่รุนแรง แต่มีข้อเสียคือ ผู้ป่วยจะเกิดความรำคาญ หรือไม่มั่นใจเมื่อต้องอยู่ในสังคมจนเกิดเป็นปมด้อยได้

           แม้ในปัจจุบันจะไม่รู้ว่าสาเหตุแน่ชัด  แต่มีข้อสันนิษฐานว่าอาจจะมีหลอดเลือดบริเวณก้านสมองที่ผิดปกติไปแตะอยู่บนประสาทสมองคู่ที่ 7 ซึ่งเป็นประสาทที่มาควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าตลอดเวลา จึงทำให้มีการปล่อยกระแสไฟฟ้ามากเกินไป ทำให้เกิดใบหน้ากระตุกครึ่งซีก  อย่างไรก็ตาม พบว่าคนไข้บางรายไม่เคยมีพยาธิสภาพของหลอดเลือดผิดปกติดังกล่าวมาแตะบริเวณเส้นประสาทเลย และยิ่งกว่านั้นคนไข้จำนวนหนึ่งที่ได้รับการผ่าตัดแยกหลอดเลือดที่มาแตะบนประสาทสมองคู่ที่ 7 นี้ออกไปแล้วอาจทำให้หายชั่วคราว แต่คนไข้เกินกว่าครึ่ง มักกลับมาเป็นอีกภายหลังการผ่าตัด 3 - 5 ปี ดังนั้นการแก้ปัญหาโดยวิธีดังกล่าวจึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษา

ประเทศไทยมีการรักษาอย่างไร
           คนไข้จะได้รับการบำบัดรักษาหลายวิธี  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค
           1. ยา อาจใช้ยากลุ่มออกฤทธิ์กล่อมประสาทบำบัดรักษาได้เช่นกัน แต่ผลข้างเคียงค่อนข้างสูง ผู้ป่วยจะง่วงนอน และไม่สามารถปฏิบัติภารกิจประจำวันได้ ขณะเดียวกันผลของการควบคุมการกระตุกของกล้ามเนื้อใบหน้าพบว่ามีประสิทธิผลเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น
           2.
  ฉีดสารโบทูลินัม ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างจากเชื้อแบคทีเรีย Clostidium botulinum ซึ่งขณะนี้เป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุด  ออกฤทธิ์โดยสกัดกั้นกระแสไฟฟ้าที่ส่งออกมาจากปลายประสาทมายังบริเวณ presynaptic site  ของกล้ามเนื้อใบหน้าโดยตรง  ทำให้ไม่สามารถหลั่งสาร acetyl choline ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทออกมาได้
           ดังนั้นคำสั่งที่มายังกล้ามเนื้อจึงลดปริมาณลง มีผลให้การกระตุกของกล้ามเนื้อลดลง อย่างไรก็ตาม วิธีดังกล่าวเป็นการรักษาตามอาการ ผู้ป่วยต้องมาฉีดสารโบทูลินัมทุก ๆ 3 - 6 เดือน ตามระยะเวลาของยาที่ออกฤทธิ์  ซึ่งการรักษาโดยวิธีนี้ได้ผลราวร้อยละ 85
           3. วิธีรักษาอื่น ๆ เช่น การผ่าตัด ถือเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูง
  เพราะอาจเกิดผลแทรกซ้อน เช่น   หูหนวก ปากเบี้ยว มีเลือดออกที่ก้านสมอง เลือดออกในสมองน้อยจนทำให้หมดสติ เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เกิดภาวะเจ้าชายนิทรา หรือเสียชีวิต เพราะตำแหน่งของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 อยู่ใกล้กับก้านสมองและสมองน้อย   ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญของสมองนั่นเอง  แม้การรักษาด้วยวิธีนี้จะได้ผลราวร้อยละ 85 แต่ราวร้อยละ 50 อาจมีอาการเกิดซ้ำได้อีกหลังผ่าตัดแล้ว  5  ปี   


           แต่ไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีใด อย่าเพิ่งกังวลเกินไป เพราะหากทำจิตใจให้สบาย พักผ่อนเพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รวมทั้งลดการใช้สายตาและความกังวลลงได้ อาการก็จะค่อย ๆ ทุเลาลงครับ.

 

 

เอกสารประกอบ

ดาวน์โหลด